แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย ดินแดนของเทพเจ้า ( โบรโม่ , อิเจี้ยน )

รีวิวนี้เราขอเรียกมันว่า บันทึกนึกขึ้นได้ เป็นทริปที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ก็ยังเป็นทริปที่คิดถึงทุกทีก็ยิ้มได้ตลอด เพื่อนที่ดี กับสถานที่สวยสวย เป็นสิ่งที่สร้างความทรงจำให้ฝังลึกได้นานจริงๆ ตามส้มปอยมาชมดินแดนของเทพเจ้ากันค่ะ


ภูเขาไฟโบรโม่ เป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต หรือที่หลายๆคนเรียกกันว่าเป็นลมหายใจของเทพเจ้า ถึงจะเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว แต่ก็ยังดับได้ไม่สนิทมากนัก ทุกวันนี้ก็ยังมีควันพวยพุ่งออกมา

แผนการเดินทาง
Day 1 เดินทางจากทม. – สุราบายา
Day 2 เที่ยวคาวาอิเจี้ยน – เดินทางไปภูเขาไฟโบรโม
Day 3 ภูเขาไฟโบรโม – พักที่โบรโม
Day 4 เดินทางกลับกรุงเทพ
แพลนเราไม่ได้เป็นปแพลนที่ดีอะไรมากนะคะ แค่จัดการตามจังหวะเวลาที่มี


วิธีการเตรียมตัว ! ก่อนเดินทาง

ทริปนี้เป็นทริปที่เราเตรียมตัวน้อยมากมาก เนื่องจากงานยุ่งจนวินาทีสุดท้ายเลยค่ะ เพราะฉะนั้นรีวิวฉบับนี้เป็นรีวิวที่กระทัดรัด เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อย แต่ก็ยังแบ่งเวลาไปเที่ยวได้ ส้มปอยสรุปขั้นตอนสั้นๆมาให้ตามนี้เลยค่ะ !! ลุย

1.ตั๋วเครื่องบิน และโรงแรม เราจองผ่านทราเวลโลก้าทั้งหมด สะดวกง่ายมากมาก ( ดูตั๋วเครื่องบินไปอินโดนีเซียราคาถูกที่นี่ >> https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-indonesia  ) จองตั๋วเครื่องบินเสร็จ ได้โคดลดราคาไว้จองโรงแรมเพิ่มอีกด้วย และความคล่องตัวอีกอย่างค่ะ การเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้า สามารถทำผ่านแอพ Traveloka ได้เลยค่ะ ทั้งหมดนี้ทำได้ภายใน 5 นาที !! เช็คอินออนไลน์ล่วงหน้า ไม่ต้องกังวลเรื่องตกเครื่องเลยค่ะ โหลดแอพ Traveloka แล้วก็ลุยเลย
( สามารถ เช็คอินออนไลน์ กับ Traveloka ผ่านแอพลิเคชั่น หรือหน้าเว็บได้เลยนะคะ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ >>  https://www.traveloka.com/th-th/checkin )


2.เช่ารถพร้อมคนขับ ! เป็นวิธีการเที่ยวที่ง่าย สะดวก และราคาไม่แพง เราแนะนำให้เลือกเดินทางวิธีนี้เลยค่ะ ไปกันหลายคน สักสี่ห้าคนกำลังดี หารค่าใช้จ่ายกันแล้วไม่กี่บาทเองค่ะ
( สำหรับขนส่งสาธรณะไม่แนะนำเลยค่ะเพราะจะทำให้เสียเวลามากมาก นอกจากว่ามีเวลาเยอะมาก อยากชิลๆก็พิจารณากันตามควรเลยค่ะ)

เราเช่ารถของ K.Arif  น่ารักมากมากแนะนำเลยค่ะ ติดต่อจองได้เลยที่ Arif.travel35@yahoo.com / FB :Arif Wawan

3.ภาษาราชการและภาษาประจำชาติ ได้แก่ ภาษาอินโดนีเซีย หรือ Bahasa Indonesia แต่คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยค่ะ คุยกันได้แบบหรู่เหรื่องนิ

4.ชาวอินโดนีเซียร้อยละ 87 นับถือศาสนาอิสลาม อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกไก่เป็นหลัก ใครทานไก่ไม่ได้ก็พกอาหารกระป๋องเผื่อได้ค่ะ

5.อินโดนีเซียใช้เต้าเสียบแบบ 2 หัวกลม ไม่เหมือนบ้านเรา ดังนั้นต้องเตรียม universal plug ไปด้วยนะคะ 

6.เงินแนะนำให้แลกเป็นอินโดไปเลยค่ะ บางร้านก็รับเงินดอลลาร์เหมือนกัน แต่จะไม่สะดวกในการใช้เท่าไหร่ค่ะ


ได้เวลาบิน !!! หลังจากเช็คอินออนไลน์มาล่วงหน้า แบบไม่โหลดกระเป๋าเพราะเดินทางแค่ทริปสั้นเราก็เดินขึ้นเครื่องกันชิลๆ พร้อมออกเดินทางแบบตัวโปร่งๆ เดินขึ้นเครื่องได้แบบมีเวลาชอปปิ้งในดิวตี้ฟรี !! หลับไปหลับมาเราก็มาถึงสนามบินสุราบายา นัดหมายอารีฟเรียบร้อย ออกมาก็ขึ้นรถเดินทางเลยค่ะ

การเดินทางมาโบรโม่ ไม่มีบินตรงจากไทย เป็นไฟล์ที่ต้องต่อเครื่องค่ะ จะต่อเครื่องที่ไหนก็ได้ให้ปลายทางที่สนามบินสุราบายา นะคะจะใกล้กับโบรโม่ที่สุด

ที่พักคืนแรกเราพักกันที่ Catimor Homestay เป็นหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในการเดินขึ้นคาวาอีเจี้ยนของเราคืนนี้ค่ะ

โรงแรมเล็กๆใกล้ๆกับหมู่บ้าน โรงแรมอยู่ในระดับที่โอเคค่ะ ที่นอนสะอาดมีร้านอาหารรสชาติโอเคทานได้ ที่ชอบสุดคือมีหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆโรงแรม ถ้าชอบไลฟ์สไตล์ท้องถิ่นแบบเราก็จะชอบมากเลยค่ะ

เลยหมู่บ้านไปก็จะเป็นน้ำตก โดยการใช้วิธีเดินไปเรื่อยๆ จนเจอค่ะ ไม่ได้เป็นน้ำตกที่ใหญ่อลังการอะไรนะคะ แต่เป็นน้ำตกที่อุดมสมบูรณ์มากมาก เราชอบผนังที่เต็มไปด้วยตะไคร้น้ำ และต้นไม้ใหญ่ที่นั่นมาก ดูแล้วสดชื่นดี

เสร็จจากน้ำตก เราก็เดินกลับที่พักค่ะ ระหว่างทางมีบ่อน้ำร้อน สามารถไปแช่ได้ค่ะ ( น้ำไม่ได้ขัดขาวนะค่ะ คือสีน้ำตาลดั้งเดิมเลยทีเดียว เห็นแล้วอยากกินชาชัก) เราเลยไม่ได้ลงแช่ ปล่อยให้เพื่อนผู้ชายแช่ตัวไป เพื่อนบอกก็สดชื่นดี ประหนึ่งออนเซ็นในญี่ปุ่น

วันแรกจบไปอย่างรวดเร็วคืนนี้ต้องนอนเร็วหน่อยเพราะต้องเดินไปดูบลูเฟรมตั้งแต่เช้าตรู่ หรือจะเรียกว่าดึกดื่นดีเพราะเราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ตีหนึ่ง !! มื้อเย็นวันนีก็ฝากท้องไว้ที่โรงแรมเลย รีบกินรีบนอนรีบตื่น


Kawah ljen

ตื่นมาด้วยความสดใส ( ไม่จริงงงงง) เราต้องเชคเอาท์เอาของออกมาเลยเพราะจากที่พักไปที่จุดเดินขึ้นห่างกันประมาณ 1 ชั่วโมง ซารีฟพาพวกเราฝ่าความมืดออกไป รถจะรอที่ปากทางเข้าที่เหลือเราต้องเดินเท้าเข้าไป

ความมืดและความหนาวคงทำอะไรเราไม่ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง การเดินท่ามความหนาวจนบาดจมูก การขึ้นเนินที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนมองไม่เห็นปลายทาง ในใจก็ร้องเพลงไปว่า “เหนื่อยจนท้อ ต้องเดินอีกนานเท่าไหร่” แต่รอบกายข้างๆก็ได้ยินแต่เสียงว่า

เมิง เมิง กูขอพักหน่อย
เมิง เมิง กูไม่ไหวแล้ว
เมิง เมิง กูหายใจไม่ออก
เมิง เมิง กูขอพักหน่อย
เมิง เมิง ขอชอคโกแลตหน่อย
เมิง เมิง กูปวดเข่า
เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง เมิง  กูขอพักหน่อย

ด้วยกรดกำมะถันวันนั้นแรงมาก ลมแรงพัดสะบัดทุกทิศทาง ตอนนั้นคิดว่าตัวเองอยู่ในสงครามวิ่งฝ่าระเบิด หกล้มคลุกคลานฉุดกระชากกันไปตลอดทาง ไกด์บอกว่าปกติไม่ได้ลมแรงขนาดนี้ ต้องระวังมากมาก ต่อสู้กันไปได้สักครึ่งชั่วโมง จากเพื่อนไม่เคยทิ้งกัน บลูเฟรมที่อยากเห็นไม่อยู่ในสายตาแล้ว สรุปได้ที่มันแหละอยากให้เราทิ้งไว้กลางทาง และจะนั่งรออยู่ตรงนี้ !

สุดท้ายเราก็ไปไม่ทัน Blue Flame ได้แค่เห็นจากไกลๆ และเจอแม่น้ำสีสดใสมาแทน ธรรมชาติคือสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ ไม่น่าจะว่าโลกนี้จะมีอะไรแบบนี้ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง

ข้อสำคัญในการเดิน Kawah Ijen
1.ควรจะจ้างได์ (ค่าจ้างไกด์ 150,000 idr ) ตอนเดินขึ้นสามารถเดินตามนักท่องเที่ยวขึ้นไปได้เลย ทางแยกไม่มากส่วนใหญ่เป็นทางตรง แต่มันมืดมาก ไกด์มีความสำคัญในการต่อสู้กับกำมะถันค่ะ เค้าจะรู้จังหวะ และช่วยดูแลเราได้ดีค่ะ
2.ไฟฉายสำคัญมาก ต้องมีทุกคน เพราะมีโอกาสที่เราจะหลงจากกลุ่มได้ตอนเราวิ่งหนีกำมะถัน
3.ผ้าขนหนู เตรียมที่หนาหน่อยนะคะ ซับน้ำได้ดี  อันนี้โคตรสำคัญ ขอขีดเส้นใต้เอาไว้เลย ถ้าไม่มีผ้าขนหนูชุบน้ำ ชีวิตจะสั้นลง 40%
4.น้ำเปล่า / ชอคโกแลต /น้ำหวาน เพิ่มพลังงงานระหว่างเดิน   ( คือถ้าคนไม่เคยออกกำลังกาย มันก็จะเหนื่อยมากๆ เราต้องมีตัวช่วย)


หมดแรงลงมาขาสั่นพร้อมกับขาอ่อน 555 แต่พอย้อนกลับไปสนุกมาก หลังลงมาเราให้ซารีฟแวะปั๊มระหว่างทางเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดทั้งหมดที่ใส่มีกลิ่นนกำมะถันแรงมา เราต้องใส่ถุงแยกเอาไว้ไม่ให้ไปติดกลิ่นกับเสื้อผ้าที่เหลือ อาบน้ำเสร็จกินข้าว ความสดชื่นก็กลับมา พร้อมเดินทางสู่โบรโม่ !!


Bromo Mountain !

เราเดินทางมาถึงโบรโมชั่วงเย็น จาก Kawah Ijen – Bromo MT ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง รวมเวลาเราแวะทานข้าว และอาบน้ำ เราก็เดินทางไปถึงเย็น ทันดูพระอาทิตย์ตกพอดี มีเวลาเดินเล่นนิดหน่อย แต่ด้วยความเพลียมาทั้งวันเลยนอนพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน เพราะว่าเราต้องตื่นตีสามไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกแล้วค่ะ !!

ตีสามเราจะเดินทางด้วยรถจิ๊บเท่านั้นค่ะ รถซารีฟไม่สามารถขึ้นไปที่จุดชมวิวได้ ใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็ได้เจอกับจุดชมวิว วันนี้หมอกไม่เยอะแต่แสงอาทิตย์สีชมพูอ่อนๆสวยมากมาก

ตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมากมาก เราก็กดถ่ายไม่หยุด แม่จะมุมเดิมขยับไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะคนเยอะแน่นมาก แต่ก็ถ่ายอยู่นั่น สีที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆของดวงอาทิตย์ก็ได้อารมณ์ภาพต่างกันเลย แม้จะมุมเดียวกันเป้ะก็ตาม

หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นเรียนร้อย จุดที่สองรถจิ๊บจะพาเราไปที่เนินภูเขาไฟโบรโม่ ให้เราได้ใกล้ชิดโบรโม่แบบแนบสนิทบรรยากาศระหว่างทาง หมอกยังเต็มไปหมดสวยมากมาก รถจิ๊บขับปีนป่ายเขากันตามตามลงมาเป็นสาย ลมเย็นจนหน้าชา แต่ก็แฮปปี้มาเลยเหมือนกัน

รถจิ๊บจะมาจอดที่ตีนเขา แล้วเราต้องเดินไปหรือขี่ม้าไปก็ได้แล้วแต่สะดวก ถ้าให้แนะนำคือเดินไปสักระยะก่อนแล้วค่อยขี่ม้า เพราะค่าขี่ม้าจะลดลงติดจรวดเลย ราคาลดลงกว่าครึ่งทีเดียวค่ะ

เดินไปก็ได้ถ่ายภาพชิลๆ มีร้านน้ำชาให้บริการด้วย อากาศหนาวหนาวก็น่ากินอยู่หรอกค่ะ แต่ติดที่ฝุ่นเยอะมากมากไปหน่อย ได้กินน้ำชาคลุกฝุ่นแน่แน่น

การเดินขึ้นปากปล่องภูเขาไฟ ใช้แรงเยอะพอควรเลยค่ะ เพราะทางชันและที่สำคัญเป็นดินภูเขาไปเดินทีพื้นยุบที ได้ทรายติดตามรองเท้า กางเกงมาเต็มที่เลยค่ะ

ขึ้นมาข้างบนก็หายเหนื่อยเลย วิวสวยมากมาก ได้กลิ่นกำมะถันนิดหน่อย แต่กลิ่นดีกว่าคาวาอิเจี้ยนมาก อยู่ในระดับที่โอเคเลย มาเจอควันที่ออกจากภูเขาก็มีแอบเสียวเหมือนกันค่ะ เหมือนเดินอยู่บนริมเหว

เราใช้เวลาเดินไปเดินมากันนานมาก จนไม่อยากไปไหนต่อเพราะเต็มอิ่มกับโบรโม่มากมากเลย เสร็จจากที่นี่เราเลยกลับไปพักที่โรงแรมเลย นอนหลับให้หายเพลียจากการที่อดนอนมาสองคืน !!

ปิดทริปอินโดด้วยเบียร์อินโดเลยค่ะ ถ้าใครยังมีเวลาเหลือ แนะนำ Borobudur temple อีกที่เพิ่มเติมเข้าไปในแพลนได้เลย และอินโดนีเซียยังมีที่เด็ดๆน่าไปอีกหลายที่ ส่วนใครมีเวลาน้อยก็เที่ยวตามส้มปอยได้เลยค่ะ สี่วันเหลือๆ กลับบ้านแบบแฮปปี้

เช็คราคาตั๋วเครื่องบินได้ที่ >>> https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-indonesia 

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *