ปลายใบไม้ร่วง ต้นฤดูหนาว ช่วงเวลาปลายปีก่อนสิ้นปีแบบนี้ เรามักจะอยากหาทริปสั้นสั้นที่อบอุ่นมากมาก เพิ่มพลังให้ตัวเองก่อนลุยงานจนจบสิ้นปี จนกลายเป็นทริปนี้ 5 วัน 4 คืนสั้นๆ ที่นาโกาย่า
การเตรียมตัวก่อนไปนาโกย่า !
- เดินทางด้วยสายการบินไหน? สามารถบินตรงจากกรุงเทพฯได้เลย เราเลือกบินกับแอร์เอเชียเจ้าประจำเช่นเคย ดอนเมือง – นาโกย่า ในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – เมษายน มีเที่ยวบินทุกวันวันละ 1 ไฟล์บิน ( ส่วนเดือน พฤภาคม – ตุลาคม มีเที่ยวบินทุกวัน จันทร์ พุทธ ศุกร์ เสาร์ และวันอาทิตย์ )เครื่องบินไปนาโกย่าเป็นเครื่องใหญ่กว่าปกติ ที่นั่งกว้างเหยียดขาได้สบายมาก มีที่นั่งเป็น 2-4-2



แอร์เอเชียเป็นสายการบินเดียวในไทยที่มีบินตรงจากกรุงเทพ – นาโกย่า มาพร้อมราคาสุดพิเศษ เริ่มต้นเพียง 2,990 บาท* ต่อเที่ยว จองผ่าน www.airasia.com ได้เลยจ้ะ อย่าลืมสมัครสมาชิก BIG นะคะจะได้รับข่าวสาร สิทธิพิเศษ และราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของแอร์เอเชียด้วยค่ะ
- Simcard ? ส้มปอยใช้ Sim2 fly ของ Ais ในญี่ปุ่นอินเตอร์เน็ต แรงเร็ว ลื่นไหลดีอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นมาก เพราะส้มปอยชอบเปลี่ยนแพลนบ่อยๆ ใช้เช็ครอบรถบัส รถไฟ และติดต่อโรงแรมกรณีเดินทางไปถึงล่าช้า มั่นใจได้ว่าถึงแพลนจะเปลี่ยนยังไงเราก็เดินทางได้สะดวกแน่นอนค่ะ แถมคนญี่ปุ่นยังไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษมีอินเตอร์เน็ตแล้วก็สบายใจได้ใช้เป็นเครื่องแปลภาษาตอนสั่งอาหารได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
- VISA ? ญี่ปุ่นฟรีว่าซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไม่เกิน 15 วันค่ะ ทริปนี้เรามาแค่ 5 วันเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ เตรียมแค่วงเงินบัตร visa ไปชอปปิ้งเพียงพอค่ะ
- ที่พัก เรื่องที่พักส้มปอยจองผ่าน shopback แล้วเลือกช่องทางจองปกติได้เลยค่ะ เช่น booking.com | Agoda | Trip.com แค่กดลิงค์ผ่าน shopback ก่อนจะได้รับสิทธิ์เงินคืน 6-12% แล้วแต่โปรโมชั่นแต่ละช่วงค่ะ
- เงิน ? ญี่ปุ่นใช้เงิน JPY อัตรตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยแล้ว ให้เอาเงินญี่ปุ่นหารด้วย 3 จะได้เป็นเงินไทย โดยค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ ถ้าเจอถูกเมื่อไหร่ แลกเก็บกันไว้ได้เลยค่ะ
- อาหาร ส้มปอยชอบอาหารญี่ปุ่นมาก เป็นสวรรค์ของอาหารที่ละเมียดละมัยและสนุกในการสุ่มทานแต่ละร้าน ยิ่งร้านที่ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษยิ่งสนุก ร้านมินิมาร์ทยังอร่อยมาก ( เคยรีวิวอาหารในคอมบินิญี่ปุ่นไว้ >> คอมบินิญี่ปุ่น คลิกที่นี่ ส้มปอยเลยไม่เคยเตรียมอาหารแห้งจากไทยไปเลย แต่ถ้าใครไม่ไหวจริงๆ เตรียมพวกน้ำจิ้มซีฟู๊ด หรืออะไรแซ่บๆไปด้วยก็ได้ค่ะ



- เที่ยวยังไงดี มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ? ในตัวนาโกย่าเองถือเป็นเมืองที่มีประชากรใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นเมืองใหญ่มากทีเดียว ที่เที่ยวเฉพาะนาโกย่าก็มีเยอะมาก แถมที่เที่ยวละแวกใกล้เคียงก็น่าโดดเด่นมากมาก

ดูจากแผนที่จะเห็นว่า นาโกย่าเป็นเมืองตรงกลางระหว่างเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและเกียวโต ถ้าใครอยากไปโตเกียวหรือเกียวโตด้วย ก็สามารถพ่วงทริปเข้าไปได้ เช่น บินลงนาโกย่า แล้วบินกลับจากเกียวโต หรือโตเกียว แต่ถ้าไม่ชอบการเดินทางใกลใกล ก็แนะนำบินกลับทางเกียวโตค่ะ เพราะใกล้มากแค่ 35 นาทีเอง ส้มปอยสรุปที่เที่ยวใกล้นาโกย่าไว้สั้นๆ ตามนี้ค่ะ

Takayama เมืองเล็กๆที่ไม่เล็กเมื่อเทียบกับเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ ยิ่งเดินยิ่งเพลิน ยิ่งเดินยิ่งสนุกมากมากค่ะเมืองนี้ และ

Kamikochi ที่นี่ได้รับชื่อว่าแดนสวรรค์ของเทือกเขาแอลป์ เหมาะกับคนที่ชอบธรรมชาติ ไฮกิ้งเบาเบา เดินชมวิวไปเรื่อยๆ ช่วงหน้าร้อนก็มีเส้นทางแทรกกิ้ง แต่ช่วงหน้าหนาวแค่เดินดูสีใบไม้ตัดกับหิมะที่เริ่มมาก็เพลินแล้วค่ะ

Shirakawago หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณที่ได้รับการันตีเป็นมรดกโลก กับบ้านหลังคาสามเหลี่ยม ที่นี่เป็นที่นิยมมาในช่วงหน้าหนาว แต่ส้มปอยว่าช่วงต้นหน้านาวใบไม้ยังเปลี่ยนสีอยู่ก็สวยมากเช่นกันค่ะ



Shizuoka เป็นเมืองที่เห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากทุกที่ เป็นอีกเมืองที่ส้มปอยรักมาเลยค่ะ เดินทางจากนาโกย่าแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง

Kyoto ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอตที่สุดในญี่ปุ่นต้องเกียวโตเลยค่ะ ช่วงต้นพฤศจิกายนเป็นช่วงเริ่มต้นของใบไม้เปลี่ยนสีที่เกียวโตเหมือนกัน ใครอยากเปลี่ยนบรรยากศก็ไปต่อเมืองนี้ได้เลยค่ะ นั่งรถไฟแค่ ~40 นาทีเท่านั้นค่ะ

Tokyo เมืองที่รักมากมาก เพราะอาหารอร่อยเยอะดี ต้นพย. ก็เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเหลืองอร่ามทั่วโตเกียวเช่นกันค่ะ เป็นอีกตัวอีกเมืองที่ดีมากมาก และสามารถเดินทางร่วมกันได้กับรูทนี้ค่ะ
เห็นมั้ยบินลงนาโกย่ามีที่เที่ยวเยอะมาก ทั้งตัวเมืองนาโกย่าเองหรือที่เที่ยวใกล้เคียง แต่ทริปนี้ส้มปอยมีเวลาแค่สั้นๆ ปลายปีที่วันลาไม่ค่อยจะมีเหลือ เป็นช่วงก่อนจะเฉลิมฉลองโบนัสจะออก และก็เป็นช่วงที่อ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งปีเช่นกัน ทริปนี้ส้มปอยก็เลยเลือกกิจกรรมเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติอย่าง kamikochi และ Shirakawago ปิดท้ายด้วยเมืองที่เสน่ห์ล้นอย่างนาโกย่า


Day 1 | Bangkok – Nagoya – Takayama
เริ่มต้นด้วยเดินทางจากสนามบินดอนเมือง โดยเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ ถึงช่วงนี้จะยังไม่ได้เป็นช่วงไฮซีซัน แต่แนะนำให้เช็คอินออนไลน์มาจากบ้านแล้วมาโหลดกระเป๋าเพิ่มเอาจะรวดเร็วกว่ามากค่ะ
ไฟล์บินของนาโกย่าช่วงเดือน พฤศจิกายน – เมษายน XJ638 จะเริ่มบินตอนเวลา 02.15 -09.40 ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมง 25 นาที เบาะที่นั่งกว้างขึ้นกับเวลาเดินทางไฟล์ดึกแบบนี้หลับทีเดียวยาวถึงนาโกย่าแล้ว มาถึงนาโกย่า 09.40 ( เวลาเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ) พร้อมเที่ยวได้ทันที ส่วน immigration ที่นี่ก็ง่าย สะดวก รวดเร็วตามมาตรฐานญี่ปุ่น วันนี้วันแรกเลือกเดินทางไปนอนที่ Takayama หมู่บ้านน่ารักกับเนื้อฮิดะที่เราอยากลิ้มรส


“SHORYUDO Highway Bus Ticket” หรือ “SHORYUDO Bus Pass” กับัตรนี้ เป็นบัตรพาสรถด่วน สำหรับท่องเที่ยว ในเขต “SHORYUDO” (ตามชื่อพาส) ซึ่งอยู่ใน ภูมิภาคจูบุ (Chubu) แบบไม่จำกัดเที่ยว ในระยะเวลาและเส้นทางที่กำหนด โดยมีให้เลือก 3 เส้นทาง ดังนี้ค่ะ ( เลือกซื้อตามสถานที่ต้องการเดินทาง จำนวนวันและเวลาที่เดินทางนะคะ)
- 3-Day Pass Takayama – Shirakawa-go – Kanazawa Course(7,500 เยน)
- 3-Day Pass Matsumoto – Magome – Komagane Course(7,000 เยน)
- 5-Day Pass Wide Course(13,000 เยน)
ทริปนี้ส้มปอยเลือกใช้ shoryudo 3 days pass เป็นพาสของรถบัส ( เส้นทางนี้รถบัสครอบคลุมมากกว่ารถไฟค่ะ ) ลองคำนวณดูแล้วซื้อเป็น Pass ราคาคุ้มกว่ามากเลยค่ะ แลกตั๋วได้จากสนามบินเลย พร้อมครอบคลุมการเดินทางจากสนามบินเลย ลงเครื่องปั๊ปเปิดบัตรแล้วนั่งรถเข้าเมืองได้เลยค่ะไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ใครไปไม่ถูกสอบถามที่ Tourist Information ได้เลยค่ะ

จากสนามบินเดินทางเข้าเมืองนาโกย่าด้วยรถไฟ ลงที่ สถานี Meitetsunagoya ใช้เวลาเดินทาง ~37 นาที ( เวลารถไฟญี่ปุ่น แม่นยำและตรงเวลาเสมอเลยค่ะ) หลังจากนั้นเราต้องต่อรถบัสไปที่ Takayama ให้สังเกตป้าย meitetsu bus center เดินตามทางเรื่อยๆ ระหว่างทางจะเจอของกินตลอดทาง แนะนำซื้ออาหารไปทานบนรถบัสเลยค่ะ เราจะได้มีเวลาเที่ยว Takayama เยอะๆ ส่วนตัวส้มปอยชอบวัฒนธรรมการกินอาหารตอนเดินทางของญี่ปุ่น อาจจะเพราะอาหารญี่ปุ่นกลิ่นไม่แรง เลยมีวัฒนธรรมแบบนี้ได้ ถ้าอาหารไทย กินแกงไตปลา ผัดสะตอบนรถ ก็ดูจะทำเป็นการทำร้ายเพื่อนข้างเคียงอย่างรุนแรง

ข้อควรรู้ :: meitetsu bus center อยู่ที่ชั้น 3 ให้ขึ้นลิฟต์ไป แล้วเข้าไปโชว์พาสและบอกเจ้าหน้าที่ ว่าไป Takayama ใช้เวลาเดินทาง 2.45 ชั่วโมง บนรถที่นั่งกว้างขวางดี นั่งสบาย มีห้องน้ำ ระหว่างทางแวะพัก 1 จุด ให้เข้าห้องน้ำหรือซื้อขอกิน
หลังจากมาถึงที่ bus center เมือง takayama ช่วงประมาณบ่ายสาม เราก็มุ่งหน้าเข้าที่พักเก็บของ สำหรับที่พักของเราคือ คือ relax hostel takayama station เป็น hostel ที่ทำเลดีมาก สะอาด ราคาประหยัด เราพักที่นี่ 2 คืน เป็นฐานหลัก ราคา 4,980 เยน หลังเช็คอินเรียบร้อย สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ การเดินเล่นชมเมืองและเนื้อฮิดะที่เตรียมเช็คลิสมาจากบ้านแล้ว ร้านแรกของเราคือร้าน 千石屋 (Sengoku-ya) (อ่านเพิ่ม https://m.pantip.com/topic/34458522?)



อากาศช่วงต้นฤดูหนาว อยู่ที่ 4-6 องศา อากาศหนาวขนาดนี้กับการได้กินเนื้อฮิดะย่าง และเดินเล่นกินเพิ่มความหนาวให้ร่างกาย กินอิ่มแล้วก็เดินสำรวจบรรยากาศในเมืองทาคายาม่าเป็นเมืองสงบ เงียบเท่าที่ตัวเราจะอนุญาติให้เงียบ ใช้ชีวิตให้ช้าได้เท่าที่เราจะอนุญาติให้ช้า มนุษย์กรุงเทพที่ใช้ชีวิตเร็วกว่ารถไฟญี่ปุ่นต้องตกหลุมรักเมืองนี้แน่แน่







เดินไปเดินมาก็กินตลอดทาง จนมาเจอร้านนึงคนยืนต่อแถวยาวมาก อดไม่ได้ที่จะเข้าไปส่องตามสไตล์ไทยมุงของเรา (เราเชื่อว่าร้านไหนแถวยาวเอาร้านนั้นเลย อร่อยแน่) แล้วเราก็พบกับร้านซูชิหน้าเนื้อ โดยในร้านจะมี menu อยู่ 4 แบบ แบ่งเป็น
- SetA ซูชิหน้าเนื้อ 2 คำ ราคา 800 เยน
- SetB ข้าวห่อสาหร่ายหน้าเนื้อ+ไข่ 2 คำ 800 เยน
- SetC ซูชิหน้าเนื้อ 2 คำ + ข้าวห่อสาหร่ายหน้าเนื้อ + ไข่ 1 คำ ราคา 1,000 เยน
- SetX ซูชิหน้าเนื้อพรีเมี่ยม 2 คำ ราคา 1,000 เยน



สำหรับเรา เราเลือก C เพราะ 2 ชิ้นน้อยไป และไอ้กิน 2 แบบด้วย เราใช้เวลารอคิวประมาณ 40 นาที ถึงจะได้กิน 3 คำ แต่ เป็น 40 นาที ที่โคตรคุ้ม ฟินเฟ่อร์ เป็นซูชิหน้าเนื้อที่อร่อยมากจริงๆ ใครมา Takayama ห้ามพลาด!! อยากกินอีกเยอะเยอะ รอบหน้าสั่ง 2 ชุดเลยนะ



หลังจากเดินเล่น กินๆจนอิ่ม ก็กลับไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ เตรียมตัวออกไปให้ธรรมชาติโอบกอด หลับฝันดีเนื้อเต็มพุงเลยค่ะวันนี้
Day 2 : Kamikochi สวรรค์แห่งเทือกเขาเอลป์
ตื่นตอนเช้ารับความสดใสดวันนี้เรามีนัดกับ Kamikochi ค่ะ วันนี้เป็นวันธรรมชาติบำบัด คามิโคจิ เป็นหุบเขาในฝันที่อยู่สูงขึ้นไปทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ภาพสายน้ำของแม่น้ำอะซูสะที่ใสสะอาดดังเกล็ดแก้วไหลรินรอดผ่านสะพานคัปปะ และฉากหลังของยอดเขาสูงตระหง่านระดับ3,000เมตร เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เป็นภาพที่เราจินตานาการเอาไว้ว่าต้องมาเห็นสักครั้ง !!

การเดินทางไปคามิโคจิ
1) เมื่อลงรถบัสที่ Hirayu Onsen แล้ว ก็ต้องไปซื้อตั๋วไป Kamikochi ซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ราคา 2,050 เยน แนะนำให้ซื้อแบบไป-กลับเลยค่ะ มีรถออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที (แนะนำให้ลงป้ายแรก Taisho Ike ก่อน แล้วเดินย้อนขึ้นไปค่ะ)
2)หรือใครที่ไม่อยากต่อรสบัสขึ้นๆลงๆ ก็ซื้อตั๋ว Nohi bus เพิ่มก็ได้ค่ะ แบบไป-กลับ ราคา 5,040 เยน (แพงกว่ากันเท่านึง แต่สะดวกกว่าไม่ต้องรอรถ) ซื้อตั๋วที่ nohi bus center ที่อยู่ข้างๆสถานีรถไฟทาคายาม่าได้เลย หลังจากซื้อแล้วต้องเก็บตั๋วไว้ตลอด เพราะต้องใช้ทุกครั้งที่ขึ้นบัส

ส้มปอยเดินทางไปช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงปลายใบไม่ร่วง และเป็นต้นหน้าหนาวของที่นี่ ใบไม้เริ่มร่วงแล้ว แต่ก็ได้หิมะบนปลายยอดเขามาแทน ใบไม้สีน้ำตาลอบอุ่น สลับกับสีแดงแดงส้มส้ม และหิมะที่ปลายยอดเขา ในวันที่แดดอุ่นอุ่น และคนน้อยน้อยแบบนี้มันดีมากเลยแหละ



เราเลือกลงป้าย taisyoike เพื่อแวะชมวิวที่ Taisho-ike Pond ก่อน แล้วค่อยเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Kappa bridge ซึ่งเป็นจุดจอดรถบัสป้าย Kamikochi นั่นเอง เส้นทางนี้ระยะทางประมาณ 3-4 กม. แต่เราเดินเรื่อยๆ บรรยากาศพาไปสามสี่ชั่วโมง 🙂







คามิโคจิ เหมาะสมกับคนที่รักการเดินชมนกชมไม้ เพราะเป็นเส้นทางเดินธรรมชาติ ถ้าชอบใบไม้เปลี่ยนสีเป็นหลักแนะนำช่วงกลางเดือนตุลาคมเราเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง Myojin pond สำหรับคนที่ไม่อินกับการเดิน และไม่อินกับการป่าเขาไม่แนะนำให้ไป เนื่องจากไกลประมาณ 3.5 กม. และต้องเดินกลับมาขึ้นบัสอีก 3.5 กม. แต่เราเดินเล่นถ่ายภาพเรื่อยเปื่อยแปปเดียวถึง จนที่สุดก็มาถึงร้านอาหารกลางป่าที่ไปถึงตอนบ่าย เลยเหลือแต่โซบะที่มีแต่เส้นกับซุปแทน



คามิโคจิช่วงนี้ เป็นช่วงสุดท้ายก่อนปิดฤดูหนาว ดังนั้นใครอยากไปคามิโคจิแบบในภาพควรเดินทาง ตั้งแต่ 1- 16 พฤศจิกายนนะคะ ช่วงหน้าหนาวจะปิดบริการยาวไปจนถึงเดือนเมษายนเลยค่ะ

เมื่อกินเสร็จก็เดินกลับมาที่ Kappa bridge อีกครั้งหลังจากนั้นเราก็นั่งรถบัสกลับไปเหมือนเส้นทางที่เรามา kamikochi – hirayu onsen – takayama
หลังจากมื้อเที่ยงมีแต่เส้นเปล่าๆ มื้อเย็นแน่นอนเรายังฝากความหวังไว้ที่เนื้อ ยังคงตราตรึงกับความละลายของเนื้อฮิดะ ร้านเด็ดวันนี้คือร้าน hida takayama kyoya ค่อนข้างไกลจากที่พัก แต่ความไกลไม่เป็นอุปสรรคในการกินของเรา สำหรับมื้อนี้ เราสั่ง set deluxe hida beef ในราคา 3,000 เยนมา โดยในเซ็ทจะมีเนื้อฮิดะสำหรับย่าง เนื้อฮิดะหมักซอสวางบนใบไม้ ข้าว ซุปมิโสะ และเครื่องเคียงต่างๆมาให้ ราคาและคุณภาพแบบนี้คุ้มมาก อยากให้เมืองไทยมีเนื้อแบบนี้ในราคาแบบนี้บ้างเน้อ




Day3 : Shirakawago หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ
การเดินทางไป Shirakawago เริ่มต้นที่เดิมเลยค่ะ Takayama Bus Terminal เส้นทางนี้สามารถใช้พาส Shoryudo Pass ได้ แต่เส้นทางนี้เนืองจากเป็นเส้นทางยอดนิยมมากรถบัสจะเต็มเร็วมาก เพราะฉะนั้นแนะนำให้จองไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ เราเคยพลาดมาแล้วครั้งนึงไม่อยากให้พลาดกันค่ะ วิธีจองตั๋วให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ Nohi bus center ข้างๆสถานี takayama ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที

หมู่บ้าน Shirakawa-Go เป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ได้รับการยกย่องให้เป็นมกดกโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ซึ่งจะได้พบกับความสวยงามที่แตกต่างกันไปค่ะ ช่วงที่นิยมมากมากคือช่วงหน้าหนาว หิมะเคลือบหมู่บ้านให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหมู่บ้านในเทพนิยายเลยค่ะ แถมช่วงนี้อากาศที่ชิราคาวาโกะเย็นสบายมาก เดินเล่นได้เพลินเพลินมากเลยค่ะ

ลักษณะโดดเด่นของบ้านที่นี่เป็นสามเหลี่ยม หรือเรียกกัว่าสไตล์ กัสโซ-สึคุริ คำว่า “กัสโซ” แปลว่า “พนมมือ” เนื่องจากหลังคาบ้านมีลักษณะคล้ายมือ 2 มือพนมเข้าหากัน มีความชันของหลังคา 60 องศา เพราะเวลาหิมะตกลงบนหลังคาบ้าน จะได้ไหลลงมาง่าย ๆ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน และสร้างความสวยงามน่ารักให้กับคนยุคพวกเรา

อีกหนึ่งไฮไลท์ของชิราคาวาโกะคือจุดชมวิวมุมสูงของหมู่บ้านสามารถนั่งรถบริการขึ้นไปหรือจะเดินขึ้นไปก็ได้ค่ะ ( รถ 200 JPY/เที่ยว)



ความสุขมักจะสั้นเวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ หมดเวลาจากที่นี่ต้องกลับ takayama และมุ่งตรงกลับไป Nagoya แล้วค่ะ ติดใจที่นี่มาก รอบหน้าจะต้องมานอนค้างคืนให้ได้
จากทาคายาม่า ใช้ Pass ใบเดิม ( อย่าลืมจองตั๋วล่วงหน้านะคะ) นั่งรถบัสมาลงที่ JR Nagoya เพื่อเข้าไปเก็บกระเป๋าที่ Hostel หลังจากที่จัดการตัวเอง เก็บของเรียบร้อย ก็เดินไปที่สถานี JR เพื่อไปขึ้น Subway (การเที่ยวใน Nagoya เราใช้ Subway เป็นหลัก ) เนื่องจากวันที่เราไปตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ จึงมีตั๋วพิเศษ เป็น one day subway pass ราคา 600 เยน ใช้ขึ้น subway ได้ไม่อั้น คุ้มสุดจ้า
สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงนาโกย่าคือเรื่องกินนี่แหละ มุ่งหน้าไปย่าน Sakae เพื่อไปร้าน Isomaru Suisan มันปูย่างที่รัก เป็นร้านที่เรากินทุกครั้งที่มาญี่ปุ่น ( Isomaru Suisan รีวิว มันปูย่าง )




การเดินทาง ให้นั่ง subway มาลงที่สถานี Sakae
Day 4 Nagoya City Tours
หลังจากตื่นเช้ามาหลายวัน วันนี้เราตื่นสายหน่อย นั่งรถเล่นเดินรอบเมิง และแน่นอนต้องไม่พลาดข้าวหน้าปลาไหลเมนูขึ้นชื่อของนาโกย่า

เนื่องจากช่วงที่เราไปปราสาทปิดปรับปรุงเลยใช้เวลาที่นี่ไม่นานนัก กิจกรรมต่อไปเลยกลายเป็นการไปต่อคิวรอกินข้าวหน้าปลาไหลที่ร้าน Horaiken นั่นเอง

ร้าน Horaiken มีทั้งหมด 3 สาขา เราเลือกทานที่สาขา Matsuzakaya Nagoya South ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 10 ร้านอาหารอยู่ข้างบน ตอนเรามาถึงคือ 12.00 น. แต่ภาพที่เห็นหน้าร้าน Horaiken คือ แถววววววววววววววววววว ยาวมาก แล้วขดหลายรอบ แต่ไหนๆมาถึงแล้วก็รอจนกว่าจะได้กิน และบุญถึง เลยรอไม่นานมาก รีบสั่งอย่างไม่ลังเลใจ ข้าวหน้าปลาไหลในร้านนี้จะมี combo set อยู่ และมี 2 ราคา ซึ่งต่างกันที่ขนาด แน่นอนว่าเราเลือกไซส์ใหญ่สุดที่มี 3,550 JPY จากนั้นรอประมาณ 15 นาที

แค่เห็นอาหารมาเสริฟก็คุ้มค่าแก่การรอแล้ว กลิ่นหอมมากจริงๆ ยิ่งได้ลองทานคืออยากห่อกลับบ้านอีกสิบจาน กรอบนอก นุ่มใน ไร้ก้าง ไม่มีกลิ่นคาว กินกับข้าวร้อนๆ ฟินมากกกแม่
วิธีการกินข้าวหน้าปลาไหลของร้านนี้ จะมีวิธีการกิน 4 แบบ
Step 0 : แบ่งข้าวหน้าปลาไหลย่างออกเป็น 4 ส่วน
Step 1 : ทานปลาไหลเพียวๆกับข้าว เพราะรสชาติปลาไหลโอเคอยู่แล้ว เป็นการทานข้าวหน้าปลาไหลแบบปกติ
Step 2 : โรยต้นหอมซอย สาหร่าย และใส่วาซาบิลงไป จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน รสชาติจะเข้มข้นขึ้น ออกแนวเผ็ดร้อน
Step 3 : เทน้ำซุปลงไป มาแนวข้าวต้ม ส่วนตัวเราว่ามันดูแฉะไปหน่อย
Step 4 : ขั้นตอนสุดท้าย เลือกได้ตามใจชอบ เราชอบทานแบบที่ 1+2 คือ ทานปลาไหลกับข้าวเปล่าๆ สลับกับโรยผัก + ใส่วาซาบิลงไป อร่อย
ความพิเศษของข้าวหน้าปลาไหลในภูมิภาคนี้ คือการนำเนื้อปลาไหลไปย่างบนเตาถ่าน ให้ความร้อนสูงจนเนื้อค่อนข้างนุ่ม ไม่คาวและไม่มีก้างเลย ซอสที่ใช้ราดก็เข้ากับเนื้อปลาไหลเป็นอย่างดี คุ้มค่าการรอคอยมาก บอกเลยว่ามานาโกย่าต้องมากิน ส่วนเราชอบกินปลาไหลกับข้าวเปล่าธรรมดาปาดวาซาบินิดหน่อยค่ะ
เว็บไซต์ร้าน : http://www.houraiken.com/
เวลาเปิด-ปิด 11:00 – 22:00 (สั่งอาหารได้ถึง 21:00)
อิ่มท้องเสร็จก็ถึงเวลาแห่งการชอปปิ้ง ที่วัด Osu Kannon ซึ่งเป็นวัดที่คนนิยมมากันมากของเมือง Nagoya โดยรอบๆวัดก็จะมีถนนช็อปปิ้งให้เลือกเดินซื้อของได้ด้วย (หลักๆของจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า เป็นหลัก คล้ายๆ ueno)

หลังจากที่ได้เวลาสมควรพระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว เราก็เดินทางสู่ไฮไลท์ของวันนี้ แล้วนั่นก็คือ Nobano no sata illumination ซึ่งเป็นอีก 1 ไฮไลท์ของการมาเที่ยวนาโกย่าก็ว่าได้ โดยจะมีช่วงเปิดให้ชมตั้งแต่ วันที่ 20 ตุลาคม – วันที่ 6 พฤษภาคม เวลา 9.00 – 21.00 เท่านั้น) สำหรับช่วงที่เรามาถือว่าเป็นช่วงพีคสุดๆ เพราะว่าอากาศเย็นกำลังดี และมีการจัดแสดงไฟ โรแมนติกสุดๆ





การเดินทางไป Nobano no sata
เดินทางโดยรถบัส ขึ้นรถที่ Meitetsu bus center (ที่เดียวกับที่เราไป Takayama) โดยเข้าไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
ตั๋วเข้าชม ราคา 2,300 เยน ก็ถือว่าแพงอยู่ แต่เราจะได้คูปองส่วนลดสำหรับซื้ออาหารกับร้านค้าข้างใน มูลค่า 1,000 เยน ก็ถือว่าโอเคเลยค่ะ

วันเวลาผ่านไปเร็วมาก จบทริปญี่ปุ่นเบาเบาแบบไม่ทันรู้ตัว ใช้เงินเบาเบา ทริปนี้หมดเงินไปแค่ 15,000 กินดีนอนอิ่ม ( ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) ชอปปิ้งแน่นแน่น และเติมพลังกลับบ้านมาไดได้เต็มร่างกาย ลองดูค่ะมีเวลาสั้นๆวันก็เที่ยวญี่ปุ่นได้ 🙂 กดจองตั๋วจากไทยแอร์เอเชีย์เอ็กซ์ www.airasia.com แล้วเจอกันที่ร้านเนื้อย่างสักร้านในญี่ปุ่นค่ะ
Leave a Reply