เหนื่อยมั้ย ทำงานมาทั้งปีได้พักบ้างหรือยัง ? ถ้าเธอเหนื่อยล้าจงจองตั๋วไปญี่ปุ่น ญี่ปุ่นรักษาอาการออฟฟิสซินโดรมได้ดีกว่าหมอ เติมพลังการทำงานได้ดีกว่าเจ้านาย ปลายปีที่วันลาเหลือน้อยเต็มที ญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน จึงเป็นทริปกำลังพอดี กับเมืองนาโกย่า ทริปเบาเบาที่ผ่อนคลายชีวิตได้ไม่เบา และเชื่อเถอะว่า ญี่ปุ่นที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ไปค่ะ!!
นาโกย่า เป็นเมืองหลักในภูมิภาคชูบุของญี่ปุ่น เป็นเมืองตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น เหมาะในการบินลงแล้วไปเที่ยวตามโซนอื่นๆได้หลายจุด เช่น ชิราคาวาโกะหมู่บ้านยอดฮิตของญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาปคาวาคูจิโกะ ก็อยู่ในภูมิภาคนี้เหมือนกันแค่คนละจังหวัด
การที่แอร์เอเชียมีบินตรงไปลงนาโกย่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงามกับชีวิตของมนุษย์ที่รักและนิยมญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจอย่างดิฉัน เนื่องจากไฟล์นี้เพิ่งเปิด ตอนนี้เลยมีช่องเช็คอินพิเศษสำหรับผู้เดินทางไปนาโกย่าโดยเฉพาะ สะดวก และรวดเร็วเหมาะสำหรับไฟล์เช้าแบบนี้ 
ทริปปลายปีแบบนี้ วันลามีน้อยนี้เรามีเวลา 4 วัน 3 คืน เดินทางพฤหัสบดี กลับวันอาทิตย์ วันจันทร์พร้อมทำงาน ทริปมินิที่ต่อพลังให้ทำงานต่อได้ยาวถึงปลายปี ลางานแค่สองวันเหมือนไปเที่ยวภูเก็ตอ่ะแหละ แว่บไปแบบเจ้านายไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทริปนี้ตั้งใจเป็นทริปสบายสบาย ชิล และ กิน 🙂 อย่างเดียวเท่านั้น มาเพื่อให้ญี่ปุ่นบำบัด สัมผัสรสชาติการพักร่างสบายสบาย ไม่เอางานมาทำ ไม่เล่นไลน์ ไม่เล่นเฟส ไม่เจอ powerpoint & excel เพื่อนรัก นาโกย่าของเราจึงเป็นนาโกย่าที่รวมรวมสิ่งที่อยากทำเท่านั้น
ดอนเมือง – นาโกย่า มีเที่ยวบินทุกวันวันละ 1 ไฟล์บิน เครื่องบินไปนาโกย่าเป็นเครื่องใหญ่กว่าปกติ ที่นั่งกว้างเหยียดขาได้สบายมาก มีที่นั่งเป็น 2-4-2 และมีจอ personal tv (แต่จอใช้ไม่ได้ หวังว่าอนาคตจะใช้ได้ค่ะ )
แอร์เอเชียเป็นสายการบินเดียวในไทยที่มีบินตรงจากกรุงเทพ – นาโกย่า มาพร้อมราคาสุดพิเศษ เริ่มต้นเพียง 2,990 บาท* ต่อเที่ยว จองผ่าน www.airasia.com ได้เลยจ้ะ
วันที่เราเดิทางบนมี surprise แจกของให้อีกเป็นผ้าปิดตาลายนินจา จากดอนเมืองถึงนาโกย่าใช้เวลาบิน ~ 5 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินชุบุแห่งเมืองนาโกย่า เบาะที่กว้างขึ้นกับเวลาเดินทางเช้าแบบนี้หลับทีเดียวยาวถึงนาโกย่าแล้ว ญี่ปุ่นไม่ไกลว่าไปภูเก็ตจริงๆ ส่วน immigration ที่นี่ก็ง่าย สะดวก รวดเร็วตามมาตรฐานญี่ปุ่น
ก่อนเข้าเมืองเราไปแลก vouncher shoryudo 3 days pass ซึ่งเราจะใช้เดินทางจากสนามบินชุบุ เข้าเมือง และจากเมือง nagoya ไป takayama และ จาก takayama ไป shirakawago แล้วก็เดินทางเข้าเมืองด้วยการนั่งรถไฟ meitetsu จากสนามบินเข้าเมืองนาโกย่า
ให้สังเกตป้าย meitetsu bus center เดินตามทางเรื่อยๆ ระหว่างทางจะเจอของกินตลอดทาง แนะนำซื้ออาหารไปทานบนรถบัส ชอบวัฒนธรรมการกินอาหารตอนเดินทางของญี่ปุ่น อาจจะเพราะอาหารญี่ปุ่นกลิ่นไม่แรง เลยมีวัฒนธรรมแบบนี้ได้ ถ้าอาหารไทย กินแกงไตปลา ผัดสะตอบนรถ ก็ดูจะทำให้บรรยากาศข้างเคียงเป็นมลพิษได้ 🙂
ข้อควรรู้ :: meitetsu bus center อยู่ที่ชั้น 3 ให้ขึ้นลิฟต์ไป แล้วเข้าไปโชว์พาสและบอกเจ้าหน้าที่ ว่าไป takayama เที่ยวรถที่เราได้ คือ 17.00 น. ถึง takayama เวลา 19.45 น. ออกจาก platform หมายเลข 7 บนรถที่นั่งกว้างขวางดี นั่งสบาย มีห้องน้ำ ระหว่างทางแวะพัก 1 จุด ให้เข้าห้องน้ำหรือซื้อของกิน
หลังจากมาถึงที่ bus center เมือง takayama เราก็มุ่งหน้าเข้าที่พัก สำหรับที่พักของเรา คือ relax hostel takayama station เป็น hostel ที่ทำเลดีมาก สะอาด ราคาประหยัด เราพักที่นี่ 2 คืน ราคา 4,980 เยน เช็คอินเรียบร้อยก็ ออกไปหาของกินมื้อเย็น มาถึง Takayama แล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ เนื้อฮิดะ เราเลย search pantip แล้วเจอกระทู้แนะนำร้าน 千石屋 (Sengoku-ya) (อ่านเพิ่ม https://m.pantip.com/topic/34458522?)
อากาศช่วงใบไม้ร่วง หนาว 4-6 องศา อากาศหนาวขนาดนี้กับการได้กินเนื้อฮิดะย่าง แล้วกลับไปนอนโรงแรมอุ่นๆ ชีวิตก็มีแค่นี้แหละว่ามั้ย เจ้านายจะกดดันยังไงก็ไม่สนแล้วจ้า ขอกินเนื้อย่างก่อนแล้วค่อยคิด
วันที่ 2 เป้าหมายคือ Kamikochi
เมื่อวานหลังจากฟาดเนื้อไปอย่างเต็มที่ ก็หลับแบบยาวยาว และตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เดินทางจาก Takayama มุ่งสู่ Kamikochi วันนี้เป็นวันธรรมชาติบำบัด คามิโคจิ เป็นหุบเขาในฝันที่อยู่สูงขึ้นไปทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ภาพสายน้ำของแม่น้ำอะซูสะที่ใสสะอาดดังเกล็ดแก้วไหลรินรอดผ่านสะพานคัปปะ และฉากหลังของยอดเขาสูงตระหง่านระดับ3,000เมตร เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เป็นภาพที่เราจินตานาการเอาไว้ว่าต้องมาเห็นสักครั้ง !!
การเดินทางไปคามิโคชิ ( kamikochi )
เดินทางโดยรถ Nohi bus เส้นทางนี้ไม่รวมอยู่ในพาสที่ซื้อไว้เมื่อวาน ต้องซื้อเพิ่ม เราเลือกแบบไป-กลับ ราคา 5,040 เยน ซื้อตั๋วที่ nohi bus center ที่อยู่ข้างๆสถานีรถไฟทาคายาม่าได้เลย หลังจากซื้อแล้วต้องเก็บตั๋วไว้ตลอด เพราะต้องใช้ทุกครั้งที่ขึ้นบัส
เราได้รถบัสเที่ยว 7.40 น. โดยรถที่จะไป Kamikochi เป็นของบริษัท Nohi ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. และเราจะต้องไปเปลี่ยนบัสอีกที่ Hirayu onsen เป็น Highland bus ซึ่งเดินทางต่ออีก 30 นาที ก็จะถึง Kamikochi 
สำหรับเราเลือกลงป้าย taisyoike เพื่อแวะชมวิวที่ Taisho-ike Pond ก่อน แล้วค่อยเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Kappa bridge ซึ่งเป็นจุดจอดรถบัสป้าย Kamikochi นั่นเอง สำหรับเส้นทางนี้ระยะทางประมาณ 3-4 กม. (เสร็จประมาณเที่ยงหน่อยๆ)
คามิโคชิ เหมาะสมกับคนที่รักการเดินชมนกชมไม้ เพราะเป็นเส้นทางเดินธรรมชาติ เราไปวันที่ 2 พย. ใบไม้โรยไปซะเยอะ บรรยากาศแห้งเหี่ยวแบบเหงาๆ แต่ก็มีความสวยงามแบบธรรมชาติกำหนด ช่วงกลางตุลาคมน่าจะสวยสดใสกว่านี้มาก
เราเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง Myojin pond สำหรับคนที่ไม่อินกับการเดิน และไม่อินกับการป่าเขาไม่แนะนำให้ไป เนื่องจากไกลประมาณ 3.5 กม. และต้องเดินกลับมาขึ้นบัสอีก 3.5 กม. แต่เนื่องจากเพื่อนเราบอกว่ามีร้านอาหารท้องถิ่นต้องกิน (ปลาอะไรซักอย่าง) จึงตัดสินใจเดินไป ซึ่งตลอดทางจะเป็นป่าที่ไม่คิดว่าจะมีร้านอาหารอยู่ ด้วยความที่หนาวและหิว จนที่สุดก็มาถึงร้านอาหารกลางป่า แต่ที่สะพรึงกว่านั้น คือปลาหมด ต้องรอประมาณ 40 นาทีถึงจะได้กิน ด้วยความหิวมากเราเลยไม่รอ กินโซบะที่มีแต่เส้นกับซุปในราคา 800 เยน แทน
เมื่อกินเสร็จก็เดินกลับมาที่ Kappa bridge อีกครั้งหลังจากนั้นเราก็นั่งรถบัสกลับไปเหมือนเส้นทางที่เรามา kamikochi – hirayu onsen – takayama
เรามาถึง takayama ประมาณ 16.30 น. เห็นฟ้าใกล้มืดเลยตัดสินใจเดินเที่ยวต่อ โดยจุดที่แนะนำ คือ ชมสะพานแดงนากาบาชิ (Nakabashi Bridge) จวนผู้ว่า (Takayama jinya) และโซนบ้านอนุรักษ์ที่ยังคงกลิ่นอายความเก่าแก่ของญี่ปุ่นไว้เป็นอย่างดี
บรรยากาศในเมืองทาคายาม่าเป็นเมืองสงบ เงียบเท่าที่ตัวเราจะอนุญาติให้เงียบ ใช้ชีวิตให้ช้าได้เท่าที่เราจะอนุญาติให้ช้า มนุษย์กรุงเทพที่ใช้ชีวิตเร็วกว่ารถไฟญี่ปุ่นต้องตกหลุมรักเมืองนี้แน่แน่
หลังจากเดินเสร็จได้เวลากินข้าวเย็น เรายังคงตราตรึงกับความละลายของเนื้อฮิดะ จึงได้หาร้านไว้อีกร้านนึง ซึ่งร้านนี้ชื่อว่า hida takayama kyoya ค่อนข้างไกลจากที่พัก แต่รับรองว่าคุ้มที่เดินไปแน่นอน สำหรับมื้อนี้ เราสั่ง set deluxe hida beef ในราคา 3,000 เยนมา โดยในเซ็ทจะมีเนื้อฮิดะสำหรับย่าง เนื้อฮิดะหมักซอสวางบนใบไม้ ข้าว ซุปมิโสะ และเครื่องเคียงต่างๆมาให้ โคตรคุ้มมมมมม อยากให้เมืองไทยมีเนื้อแบบนี้ในราคาแบบนี้
Day3 : Takayama – Nagoya
ความตั้งใจเดิม คือ เราจะไปหมู่บ้าน shirakawago โดยเราจองตั๋วรถบัสไว้เรียบร้อยแล้ว โดยใช้ pass ที่ซื้อมาในวันแรก (วิธีจองตั๋วให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ Nohi bus center ข้างๆสถานี takayama) plan is on plan เกิดขึ้นกับเราเสมอ ด้วยความที่เราตั้งใจจะกลับเข้าเมือง Nagoya กันวันนี้หลังจากเที่ยว Shirakawago เสร็จ แต่ด้วยความชะล่าใจว่าบัสเข้า Nagoya ไม่น่าจะเต็ม เลยกะว่าจะมาติดต่อตอนเช้า สรุปว่า บัสเต็มทุกเที่ยวเหลือเที่ยวเดียว คือ 11.30 น. ซึ่งจากที่จองบัสไป Shirakawako ไว้ กลับมาไม่ทันบัสเข้านาโกย่าแน่นอน สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าไม่ไปชิราคาวาโกะ และเที่ยวในเมือง Takayama แทน
หลังจากซับน้ำตาตัวเอง ก็หาที่เดินเล่นในทาคายาม่าระหว่างรอบัส เดินเล่นโซนร้านค้าที่เป็นบ้านอนุรักษ์ เดินเล่นไป ถ่ายรูปไป กินไปเรื่อยๆตลอดทาง
จนมาเจอร้านนึง ซึ่งมันยังไม่เปิด แต่คนยืนต่อแถวยาวเฟ่อร์ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปส่อง (ญี่ปุ่นร้านไหนแถวยาวเอาร้านนั้นเลย ไม่ผิดหวัง) แล้วเราก็พบกับร้านซูชิหน้าเนื้อ โดยในร้านจะมี menu อยู่ 4 แบบ แบ่งเป็น
SetA ซูชิหน้าเนื้อ 2 คำ ราคา 800 เยน
SetB ข้าวห่อสาหร่ายหน้าเนื้อ+ไข่ 2 คำ 800 เยน
SetC ซูชิหน้าเนื้อ 2 คำ + ข้าวห่อสาหร่ายหน้าเนื้อ + ไข่ 1 คำ ราคา 1,000 เยน
SetX ซูชิหน้าเนื้อพรีเมี่ยม 2 คำ ราคา 1,000 เยน
สำหรับเรา เราเลือก C เพราะ 2 ชิ้นน้อยไป และไอ้กิน 2 แบบด้วย เราใช้เวลารอคิวประมาณ 40 นาที ถึงจะได้กิน 3 คำ แต่ เป็น 40 นาที ที่โคตรคุ้ม ฟินเฟ่อร์ เป็นซูชิหน้าเนื้อที่อร่อยมากจริงๆ ใครมา Takayama ห้ามพลาด!! อยากกินอีกเยอะเยอะ
หลังจากฟินกับซูชิเนื้อเสร็จแล้ว ยังมีอีก 1 อย่างที่เห็นขายกันหลายร้าน ก็คือ ซาลาเปาไส้เนื้อฮิดะ (Hida beef bun) อดไม่ได้ที่จะลอง เลยหาข้อมูลว่าร้านไหนเด็ด ไปถึงร้านก็แอบตกใจ เพราะราคาโหดมาก ซาลาเปาลูกละ 500 เยน หรือ 150 บาท ใช่ค่ะ คุณฟังไม่ผิดแน่นอน 150 บาท แพงมากกก และถามว่าอร่อยมั้ย เราว่ากลางๆ แป้งเหนียวนุ่ม แต่ไส้แอบเค็มไปนิดนึง ใครชอบเค็มอาจจะชอบค่ะ ส่วนตัวเทใจให้ซูชิมากกว่า
พอใกล้เวลา 11.30 น. เราก็รีบเดินกลับไปที่พักเพื่อเอา สัมภาระ และไปรอรถบัส เพื่อเข้าเมืองNagoya
รถบัสจาก Takayama – Nagoya ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
เราลงที่สถานี JR Nagoya เพื่อเข้าไปเก็บกระเป๋าที่ Hostel โดยคืนนี้ เรานอนแบบแคปซูล ที่ TKP first cabin nagoya station ซึ่งเดินประมาณ 5 นาที จากสถานี JR
หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อย ก็เดินไปที่สถานี JR เพื่อไปขึ้น Subway (การเที่ยวใน Nagoya เราใช้ Subway เป็นหลัก ) เนื่องจากวันที่เราไปตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ จึงมีตั๋วพิเศษ เป็น one day subway pass ราคา 600 เยน ใช้ขึ้น subway ได้ไม่อั้น คุ้มสุดจ้า
ที่แรกที่เราทำเมื่อมาถึงนาโกย่าคือเรื่องกินนี่แหละ มุ่งหน้าไปย่าน Sakae เพื่อไปร้าน Isomaru Suisan มันปูย่างที่รัก การเดินทางให้นั่ง subway มาลงที่สถานี Sakae เป็นร้านที่รัก และเรากินทุกครั้งที่มาญี่ปุ่น ( Isomaru Suisan รีวิว มันปูย่าง )
– หลังจากกินเสร็จเราก็เดินจากร้านไปต่อที่วัด Osu Kannon ซึ่งเป็นวัดที่คนนิยมมากันมากของเมือง Nagoya โดยรอบๆวัดก็จะมีถนนช็อปปิ้งให้เลือกเดินซื้อของได้ด้วย (หลักๆของจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า เป็นหลัก คล้ายๆ ueno)
หลังจากที่ได้เวลาสมควรพระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว เราก็เดินทางสู่ไฮไลท์ของวันนี้ แล้วนั่นก็คือ Nobano no sata illumination ซึ่งเป็นอีก 1 ไฮไลท์ของการมาเที่ยวนาโกย่าก็ว่าได้ โดยจะมีช่วงเปิดให้ชมตั้งแต่ วันที่ 20 ตุลาคม 2018 – วันที่ 6 พฤษภาคม 2019 เวลา 9.00 – 21.00 เท่านั้น) สำหรับช่วงที่เรามาถือว่าเป็นช่วงพีคสุดๆ เพราะว่าอากาศเย็นกำลังดี และมีการจัดแสดงไฟ พูดเลยว่าต้องมากับแฟนอยากเดินจูงมือเค้าจัง มันโรแมนติกสุดๆ
การเดินทางไป Nobano no sata
เดินทางโดยรถบัส ขึ้นรถที่ Meitetsu bus center (ที่เดียวกับที่เราไป Takayama) โดยเข้าไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
ตั๋วเข้าชม ราคา 2,300 เยน ก็ถือว่าแพงอยู่ แต่เราจะได้คูปองส่วนลดสำหรับซื้ออาหารกับร้านค้าข้างใน มูลค่า 1,000 เยน ก็ถือว่าโอเค
เราชมไฟเสร็จประมาณ 20.30 น. ก็กลับเข้าเมือง และเข้าที่พักไปเช็คอิน แต่วันนี้ก็ยังไม่จบ ไหนๆก็ซื้อตั๋วรถ subway มาแล้ว เราเลยกลับไปที่ย่าน Sakae เพื่อไปร้านดองกี้ (Sakae station exit 2) สวรรค์ของนักช็อป มีทุกสรรพสิ่งให้เลือกตั้งแต่ คสอ. สกินแคร์ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน กระเป๋าเดินทาง แบรนด์เนม และ sex toy ช่วงเวลาของการชอปปิ้งและซื้อของฝากได้เริ่มขึ้นแล้ว
เราใช้เวลาในดงกี้กันถึงเที่ยงคืน เพราะรถไฟใกล้หมด (ถ้าไม่หมด ก็คือไม่กลับ แต่คิดถึงค่าแท็กซี่ญี่ปุ่นเลยจำเป็นต้องกลับ) กลับมาโรงแรมแช่ออนเซ็นให้หายเพลียจากการเดินทั้งวัน อยากยกออนเซ็นกลับบ้านจัง
DAY 4 : NAGOYA – BKK
กิจกรรมวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ ไม่พ้นเรื่องกิน ฮ่า ข้าวหน้าปลาไหลในตำนานที่คิดมาจากบ้านว่าต้องกิน ร้านเปิด 11.00 เราเลยไปปราสาทนาโกย่าก่อน ใช้ one day subway pass ใบเดิมได้เลย
เราใช้เวลาที่ปราสาทนาโกย่าไม่นานมาก เพราะไม่ค่อยอินกับพวกปราสาทเท่าไหร่ อินกับของกิน ธรรชาติ และการนอนมากกว่า 🙂 วิถีคนอ้วนชัดชัด
ร้าน Horaiken ใน Nagoya มีทั้งหมด 3 สาขา เราเลือกทานที่สาขา Matsuzakaya Nagoya South ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 10 ร้านอาหารอยู่ข้างบน ตอนเรามาถึงคือ 10.30 น. แต่ภาพที่เห็นหน้าร้าน Horaiken คือ แถววววววววววววววววววว ยาวมาก แล้วขดหลายรอบ แต่ไหนๆมาถึงแล้วก็รอจนกว่าจะได้กิน และบุญถึง เลยรอไม่นานมาก ประมาณ. 11.05 น. เราก็ได้เข้าร้าน รีบสั่งอย่างไม่ลังเลใจ ข้าวหน้าปลาไหลในร้านนี้จะมี combo set อยู่ และมี 2 ราคา ซึ่งต่างกันที่ขนาด แน่นอนว่าเราเลือกไซส์ใหญ่สุดที่มี จากนั้นรอประมาณ 15 นาที แล้วมันก็มาแล้ว จริงๆวิธีการกินข้าวหน้าปลาไหลของร้านนี้ จะมีวิธีการกิน 4 แบบ
Step 0 : แบ่งข้าวหน้าปลาไหลย่างออกเป็น 4 ส่วน
Step 1 : ทานปลาไหลเพียวๆกับข้าว เพราะรสชาติปลาไหลโอเคอยู่แล้ว เป็นการทานข้าวหน้าปลาไหลแบบปกติ
Step 2 : โรยต้นหอมซอย สาหร่าย และใส่วาซาบิลงไป จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน รสชาติจะเข้มข้นขึ้น ออกแนวเผ็ดร้อน
Step 3 : เทน้ำซุปลงไป มาแนวข้าวต้ม ส่วนตัวเราว่ามันดูแฉะไปหน่อย ชอบทาน
Step 4 : ขั้นตอนสุดท้าย เลือกได้ตามใจชอบ เราชอบทานแบบที่ 1+2 คือ ทานปลาไหลกับข้าวเปล่าๆ สลับกับโรยผัก + ใส่วาซาบิลงไป อร่อย
ความพิเศษของข้าวหน้าปลาไหลในภูมิภาคนี้ คือการนำเนื้อปลาไหลไปย่างบนเตาถ่าน ให้ความร้อนสูงจนเนื้อค่อนข้างนุ่ม ไม่คาวและไม่มีก้างเลย ซอสที่ใช้ราดก็เข้ากับเนื้อปลาไหลเป็นอย่างดี คุ้มค่าการรอคอยมาก บอกเลยว่ามานาโกย่าต้องมากิน
เว็บไซต์ร้าน : http://www.houraiken.com/
เวลาเปิด-ปิด 11:00 – 22:00 (สั่งอาหารได้ถึง 21:00)
อิ่มท้องเสร็จก็ถึงเวลาเดินทางกลับ สี่วันที่ผ่านไปเร็วมาก จบทริปญี่ปุ่นเบาเบาแบบไม่ทันรู้ตัว ใช้เงินเบาเบา แต่ได้ความสบายใจมาไม่เบา แล้วเจอกันที่ร้านเนื้อย่างสักร้านในญี่ปุ่นค่ะ ลองดูค่ะมีเวลาแค่สามสี่วันก็เที่ยวญี่ปุ่นได้ 🙂
พิเศษจองที่พัก ตั๋วเครื่องบินผ่าน shopback แล้วเลือกช่องทางจองปกติได้เลยค่ะ เช่น booking.com | Agoda | Trip.com | Airasia | Lazada | Expedia | Klook แค่กดลิงค์ผ่าน shopback ก่อนจะได้รับสิทธิ์เงินคืน 1-12% แล้วแต่โปรโมชั่นแต่ละช่วงค่ะ คุ้มมากค่ะ เงินคืนโอนเข้าบัญชีหลังทางเดินทาง ~75 วัน ได้เงินสดเลยค่ะ
Leave a Reply