นอกจากภาพหนึ่งภาพแทนคำล้านคำแล้ว ภาพหนึ่งภาพยังสร้างพลังความอยากให้แก่เราอย่างมากมายค่ะ หลังจากได้ยลโฉมภาพของนาขั้นบันใดที่มูกางจ๋ายมาสักสองสามปี คิดมานานว่าจะไปแต่ก็ไม่ได้ไปสักที จนคืนนึงนอนไม่หลับเปิดเฟสบุคดูเจอนาขั้นบันใดที่มูกางจ๋ายอีกแล้ว รู้ตัวอีกทีคือมีอีเมลล์ยืนยันการจองตั๋วเด้งเข้ามาแล้ว พร้อมกับวันเดินทางที่จะเกิดขึ้นอีก 5 วันข้างหน้า 🙂
ข้อมูลเหรอ แพลนเหรอ ไม่มีอ่ะ ตอนนั้นมีตั๋วเครื่องบินอย่างเดียว เป็นทริปเดินทางคนเดียวที่จินตนาการว่าเวียดนามเองไม่ยากหรอกไกล้บ้าน ไปถามเอาข้างหน้า แต่ก็มีเป้าหมายนะ คือเราอยากไปมูกางจ๋าย เคยไปเที่ยวนาขั้นบันใดที่ป่าปงเปียง ชอบมาก เคยอ่านเจอฝรั่งรีวิวไว้ว่าที่นี่เป็นนาขั้นบันใดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แน่ะ ที่สุดในโลกไปอีก นี่ก็แพ้อะไรพวกนี้ สวยที่สุด ใหญ่ที่สุด แพ้มันทุกที อีกแพลนสองก็จะเลยไปซาปาเสียหน่อย เดินเล่นฮานอยอีกนิด เป็นแพลนที่ค่อนข้างรัดกุมและหย่อนยานในคราวเดียวกัน
มูกางจ๋ายอยู่ตรงไหนของโลก นักท่องเที่ยวทั่วไปจะไม่ค่อยรู้จักที่นี่ คนส่วนใหญ่คิดว่านาขั้นบันใดคือซาปา แต่ของจริงของนาขั้นบันใดเป็นขั้นบันใด (สูงเพรียว 150 แบบเราคือมิดหัว ) มูกางจ๋ายอยู่ห่างจาก ฮานอย 300 กม. เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัด Yenbai คนส่วนใหญ่เห็นภาพที่มูกางจ๋ายแล้วจะเข้าใจว่าคือซาปา เพราะภาพของช่างภาพทั้งใน google และ shutter stock จะใส่ keyword ของ sapa ไปด้วย คนที่ไม่เคยมาเลยเข้าใจผิดกันซะเยอะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไปซาปาแล้วไม่เห็นเหมือนภาพในอินเตอร์เนตเลยล่ะ แน่ล่ะ เพราะมันไม่ได้อยู่ซาปา นาขั้นบั้นใดที่เป็นวงกลมโค้งๆ ที่เป็นภูเขาใหญ่ๆ สูงๆ มันอยู่ที่มูกางจ๋าย ถ้าอยากเจอก็นั่งรถมาอีก 4 ชม. จากซาปามาก็จะเจอมูกางจ๋ายแล้วจ้ะ
จริงๆเราไปมูกางจ๋ายมาเมื่อสองปีก่อนแล้ว ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมากเจอคนเยอะ ได้เพื่อนใหม่มามาก แต่ก็เสียไปมากเหมือนกันตั้งแต่การโดนทิ้งตั้งแต่ไปถึง ตลอดจนทำ gopro หาย มือถือหล่นน้ำ จนรูปหายไปครึ่งทริปเลยไม่ได้เขียนสักที มัวโอ้เอ้ สุดท้ายก็อยากบันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำที่น่ารักน่ารักของเราเอาไว้
การเดินทางไปมูกางจ๋าย
เดินทางเป็นกลุ่ม เหมารถตู้จากฮานอย เป็นรถตู้เดินทางระหว่างเมืองและรถเดินทางในมูกางจ๋ายค่ะ
เดินทางคนเดียว แบบเราก็ต้องใช้ขนส่งมวลชนสิคะ สายแบกเป้ก็เดินทางได้สะดวก เหมาะสำหรับเราเองที่เดินทางคนเดียว และคนที่เดินทางแค่สองสามคน มีรถบัสนอนจากฮานอย ไปมูกางจ๋าย ทั้งช่วงทางกลางวันและช่วงกลางคืน ตารางรสบัสอันนี้เราไม่รู้เลยว่ามีเวลาอะไรบ้าง ฮ่า เพราะหาตารางที่ระบุเวลาชัดเจนไม่ได้ เราใช้วิธีนั่งไปบขส. ซื้อตั๋วก่อน ได้ตั๋วเสร็จก็ ช่วงกลางวันได้มีเวลาเดินเที่ยวเล่นฮานอยสักหน่อย แล้วค่ำๆก็ต่อรถนอนยาวๆไปมูกางจ๋ายเลย เราเลยใช้บริการรถนอนจากฮานอย นอนกันยาวๆไป 7 ชั่วโมง
มูกางจ๋าย เที่ยวเดือนไหนดี
อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าอยากเห็นนาเป็นแบบไหน เอาจริงสวยทุกแบบทั้งช่วงดำนา น้ำในผืนนาสะท้อนฟ้า ช่วงนาเขียว ข้าวเขียวๆสดชื่น หรือช่วงปลายกันยา ที่ข้าวกำลังเป็นสีเหลืองทองแบบเราก็เป็นช่วงที่สวยเลย
นาสีดำ ช่วงกรกฎาคม
นาสีเขียว ช่วงสิงหาคม
นาสีเหลือง ช่วงปลายกันยายน – ต้นตุลาคม
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปมูกางจ๋าย
1.ขับมอเตอร์ไซค์ได้ ซ้อนมอเตอร์ไซค์เป็น ถ้าพวกเธอทำสองอย่างนี้ไม่ได้ ให้นอนอยู่บ้านดูรีวิวไปค่ะ ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ และที่สวยๆต้องขับมอเตอร์ไซค์อย่างเดียว ตื่นเต้นยิ่งกว่าขับรถวิบาก ขับวกวนบนภูเขาและถนนลูกรัง ( ควรทำประกันมดลูกมาก่อนก็ได้ )
2.สมัครคอร์สยิมนาสติก ใช่ค่ะ ท่านต้องเดินบนบาร์เดี่ยวบนคันนาที่เล็กและแคบมาก คนอ้วนขอให้ลดความอ้วนก่อนไปนิดนึง เพราะถ้าตกลงไปคุณคะ มิดหัวค่ะ ขนาดดิฉันสูงเพรียวเมตรครึ่งแล้ว มิดหัวค่ะ ( ตกไปนับครั้งไม่ถ้วน ) ตกแล้วตกอีก จนสุดท้ายคิดว่าใส่กางเกงยีนส์ตัวเดิมไปเหอะ ให้มันเลอะทีละตัว แล้วสไลด์มันให้ทั่วทุ่งนา ( สรุปตัวนั้นใส่ไปสี่วันเลยค่ะ)
3.ภาษามือ ซ้อมไปเยอะๆค่ะ เพราะมูกางจ๋ายเราจะไม่ได้ใช้ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษค่ะ เป็นเมืองเล็กๆที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก ความเจริญจึงยังมาไม่ถึง ชาวบ้านอยู่กันด้วยวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ภาษาร่างกายซ้อมไปเลยค่ะ
มีแค่นี้คุณก็จะไปถึงมูกางจ๋ายอย่างสวัสดิภาพ ปลอดภัยมากค่ะ คนที่นี่น่ารัก วัฒนธรรมการอ้อร้อนักท่องเที่ยวยังไม่โหดร้ายเท่าเวียดนามในโซนอื่น การโก่งราคา หรือการโกงนักท่องเที่ยวก็ดูจะไม่รุนแรง
เจอดี (ตั้งแต่วันแรก จนวันสุดท้าย)
เป็นผู้หญิงใสใสค่ะ เชื่อคนง่ายไว้ใจคนง่าย จริงๆก็เป็นคนดีนะ ( มั่นหน้าตลอด) แค่อาจจะเจออะไรบ้างไม่ให้ชีวิตราบเรียบ เวียดนามได้ชื่อว่าประเทศที่โดนโกงมากที่สุดประเทศหนึ่งเลยล่ะ ทั้งโก่งราคา ขอเงิน ขโมยของ รู้ก็รู้แหละเพราะไม่ใช้เวียดนามครั้งแรก มาที่นี่ก็จะระวังเป็นพิเศษ ท่องมาจากบ้านเลยว่า ออกจากตม.แล้วให้ซื้อซิมในสนามบิน ( ค่าซิม 9 USD ) แล้วออกมามองทางซ้ายมือจะเจอรถตู้เข้าเมือง เดินเล่นก่อนแล้วค่อยไปหาซื้อตั๋วในเมือง ราคาที่ตั้งไว้จากบ้านคือ 3 USD เท่านั้น ออกมาปั๊ปคนขับเสนอราคาที่ 10 USD และแน่นอนมีราคามาจากบ้านแล้ว เราเลยต่อได้เหลือ 3 USD เย้ๆๆ 1 แต้ม ( เวียดนาม 0 – ส้มปอย 1 )
ขึ้นรถมากับบรรดาเหล่าคนไทยที่สรุปได้ว่าซื้อตั๋วเข้าเมืองในราคาที่ไม่เท่ากันสักคน ฮ่า ส่วนใหญ่พี่พี่จะเที่ยวในฮานอยกัน ยกเว้นพี่เชษ พี่เชษเป็นคนเดียวที่เอ่ยถึงมูกางจ๋าย และเป็นเส้นทางเดียวกับเรา พี่เชษมาคนเดียวเราเลยได้จังหวะ แถมได้เพื่อนเที่ยวมูกางจ๋ายจากการนั่งเมาส์บนรถบัสระหว่างรอ พี่เชษบอกคนขับว่าจะไปขนส่ง ซึ่งเราไม่รู้มาก่อนว่ารถตู้จากสนามบินจะไปส่งที่ขนส่งด้วย เลยกะว่าเดี๋ยวไปลงพร้อมพี่เชษเลยแล้วกัน ผ่านไปสักสิบนาทีรถก็เต็มแล้วก็พาเราออกจากสนามบิน
มิตรภาพใหม่ๆเริ่มก่อตัว พร้อมกับรถตู้ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน และหยุดลงพร้อมกับรถตู้ที่จอดหน้าสนามบินอย่างทันด่วน ( จอดทำไมวะ ? คิดในใจ ) พร้อมคนขับเดินมาหยิบกระเป๋าพี่เชษลงจากรถพร้อมบอกว่าถึงแล้ว (ห๊ะ !! อะไรนะ ถึงแล้วเหรอวะ) พร้อมกับชี้ไปทางซ้ายเหมือนกับให้รอตรงนี้แล้วรถบัสจะผ่านไปมูกางจ๋ายตรงนี้แหละ ด้วยความสลึมสลือ เราก็งง พี่เชษงงกว่า คนในรถทั้งหมดก็งงไปอีก ไอเราก็คุยกันไว้ว่าเดี๋ยวจะไปด้วยกันก็เดินตามพี่เชษลงมา แล้วกำลังจะอ้าปากถามคนขับ พี่แกก็ปิดประตูใส่แล้วซิ่งรถไปอย่างเร็ว เป็นไงล่ะ อ้าปากค้างสิกู !! เรากับพี่เชษมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ เหมือนรู้กันเป็นนัยนัย ไอสัสไม่ทันไปถึงไหน โดนอีกแล้วกู ไอ่เหี้ย !! ( เวียดนาม 1 – ส้มปอย 1 )
บทสรุปของตอนนี้คือ สุดท้ายเรายืนรอกันที่ป้ายรถเมล์โดยไม่ทราบชะตากรรมใดใด แถมไม่มีใครให้ถาม จะเดินกลับสนามบินก็ดูงงงง จะโบกรถบัสไปมูกางจ๋ายเลย กูก็จะไปรู้ได้ไงว่าคันไหน แล้วมันมีจริงหรือเปล่าเหอะ ที่อ่านมาไม่เคยเจอว่าขึ้นรถตรงสนามบินได้ โชคยังดีมีคนผ่านมาเลยได้ถามแล้วสุดท้ายคือการเรียก Taxi ไปส่งที่บขส. เพื่อซื้อตั๋วไปมูกางจ๋าย ( ค่าเหมา Taxi 3000,000 VND)
ไปถึงบขส.หลังจากเจ้าหน้าที่โยนพวกเราไปมา หลายเคาเตอร์สุดท้ายก็ได้ตั๋วรถนอนไปมูกางจ๋ายมาไว้ในมือ สถานการณ์แบบอันนี้โดนชาร์ตแน่แน่ แต่ก็เออช่างมัน ได้ตั๋วมาก็ดีแล้วค่ะ เหลือเวลาอีกครึ่งวัน เลยนั่งรถเมล์เข้าไปเดินเล่นชิลๆในตัวเมืองฮานอย
ฮานอยเป็นเมืองน่ารักดีนะ น่าถ่ายรูปเดินชิลๆมาก เวียดนามสไตล์มาก


ครึ่งวันสั้นๆได้เดินเล่นฮานอย กินกาแฟเวียดนาม ช่วงเดือนกันยายนก็ร้อนใช่เล่น ถ้าได้ไปช่วงปลายปีอากาศหนาวหนาวน่าจะชิลมากมาก แต่ชอบที่รถเมล์เวียดนามสามารถนั่งพื้นได้ ฮ่า เราแบกเป้ใบใหญ่เดินมาครึ่งวัน การได้นั่งบนพื้นรถเมล์คือสวรรค์ นั่งได้โดยไม่ต้องเขิลอาย เพราะวัฒนธรรมที่นี่อนุญาติให้นั่งจ้า
จากฮานอย – มูกางจ๋าย
ออกจากฮานอยช่วงเย็น 7 ชั่วโมงถัดไปเป็นชั่วโมงแห่งการนอนบนรถนอน ซื้อขนมมากินเล่น ดูหนังในมือถือ หลับๆตื่นๆ ดมกลิ่นเท้าคนอื่นไปนิดหน่อย เราได้ที่นั่งชั้นบน เลยโล่งๆโปร่งสบายหน่อย เราไม่รู้ว่ารถบัสสุดสายที่ตรงไหน เลยตั้งเวลาปลุกเอาไว้ ในเวลาใกล้เคียง แล้วย้ำเป๋ารถเมล์อีกที จะได้ไม่ลืมกัน ตีสองคือเวลาที่เรามาถึงมูกางจ๋าย หลังจากที่กระวนกระวายว่า เอ้ย กูเลยหรือยัง หรือยังไม่เลย เนื่องจากมืดมากและฝนตกหนัก สุดท้าย เราก็มาถึงได้ ตีสอง เป้แบกแพคใบใหญ่ พร้อมฝนตกโปรยปราย และดิฉันยังไม่มีโรงแรม เมืองเงียบมาก เราเดินหาห้องอยู่สักพัก ลื่นล้มนอนเอ้งเม้งจมกองเป้อยู่รอบนึง นอกจากขาสั้นแล้ว ขาก็ยังไม่เกาะพื้นอีกด้วย สุดท้ายเราก็ได้ห้องพัก เจ้าหน้าที่บอกว่า ว่างแค่คืนเดียว เราก็โอเค คืนนี้ขอนอนก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน หลับแบบหมดแรงอย่างรวดเร็ว
ตื่นมาตอนเช้าเราจัดการเช่ามอเตอร์ไซค์ เรียบร้อยแล้วสรุปแพลน สามวันที่จะประจำการอยู่ที่นี่
DAY 1 – ช่วงเช้าตระเวนรอบมูกางจ๋าย ช่วงบ่าย ลานฮอล์ ( เป็นนาข้าวที่เป็นรอบวงกลม )
DAY 2 – ตอนเช้าเก็บภาพเพิ่มที่ลานฮอล์ ตอนบ่ายแว๊นรถไปทูเล นอนที่ทูเล
DAY 3 – ช่วงเช้าตระเวนที่ทูเล ตอนบ่ายกลับมาที่มูกางจ๋าย พักผ่อนสบายๆ
ข้อควรระวังในการเช่ามอเตอร์ไซค์คือควรเช็ครถก่อน เราไม่ได้เช็ครถกลายเป็นว่ารถที่เราเช่าตลอด 3 วันคือรถที่เบรคไม่ดี สโลว์โมชั่นเบรคเอี๊ยดๆ อันตรายมากแต่ก็ผ่านไปได้จ้าาา ทริปนี้เราขับไปเรื่อยๆ เข้าตามตรอกซอยซอย วนไปวนมา พี่เชษขับไปตรงไหนเราก็ไปตรงนั้นแหละ ช่วงไหนที่รถเข้าไม่ได้ พวกเราก็ทิ้งรถเอาไว้แล้วเดินเอา วันนี้ฝนไม่ตกแล้ว อากาศเย็นสบายมาก มองไปทางไหนก็เป็นนาสีเขียวๆ เหลืองๆ ทั้งเขาสุดตา ไม่ได้ต้องแย่งใครเลย เสียแต่ว่ามาคนเดียวเดินคนเดียว อยากถ่ายรูปตัวเองบ้างก็ไม่รู้จะใช้ใครนี่แหละ
มูกางจ๋าย ( Mu Cang Chai )
พิกัดหลักในการตั้งรกรากที่นี่ เมืองน่ารัก คนน่ารัก สงบ ล้อมรอบด้วยนาขั้นบันใดแบบเขาสูง ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างๆ ภูเขาหมดเลย แต่เป็นเขาที่เป็นนาขั้นบันใด ออกจากห้องมายิ้มแป้นเลยหว่ะ
ขนำน้อยกลางนา เรานั่งอยู่ที่นี่นานมาก คิดว่าถ้ามีร้านกาแฟมาเปิดที่ตรงนี้คงจะขายดีมากมาก แต่อีกใจก็ยังดีใจที่ยังไม่มีร้านกาแฟมาเปิด เราเลยได้เก็บอากาศงามงามโดยไม่ต้องแย่งกับใคร เปิดกระป๋องเบียร์ที่ซุกไว้มากินแกล้มวิว ลมเย็นๆตาปลือๆ ถ้ามีแปลสักอันมาแขวนก็จะนอนตรงนี้แหล้วแหละ
อยากจะบอกพิกัดนะ แต่มันยากหน่อย เพราะก็จำไม่ได้เลยว่าขับไปตรงไหนบ้าง รอบหน้าจะปัก location เอาไว้ รอบนี้พลาดนี้ แต่เราว่าขับไปเถอะ ยังไงก็สวย เพราะมากกว่า 80% ของที่นี่คือ นาขั้นบันใดสวสวยเลย
บรรยากาศในมูกางจ๋าย ยังเป็นเวียดนามแบบดั้งเดิมมากมาก คนน่ารัก เราไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหาร จะมีคนเข้ามาคุยด้วยอย่างเยอะ เหมือนคนทั้งร้านจะมาช่วยดูแลเรา สั่งอาหารให้เรา จับมือแนะนำตัว แนะนำเมนูอาหารอร่อยๆ แถมร้องเพลงให้ฟังด้วย เราถ่ายเซลล์ฟี่ภาพความอบอุ่นนั้นไว้ แต่โคตรเสียดายที่ไฟล์หายไปพร้อมกับมือถือ 🙂
Mam Xoi ( ลานฮอล์ )
ตอนแรกเห็นพี่พี่คนไทยในบลอคเรียกกันว่าลานฮอล์ ก็คิดว่าจะมีเฮลิปคอปเตอร์มาจอด สรุปแล้วมันคือเป็นลานกว้างๆที่ปลูกข้าวเป็นขั้นบันใดรูปวงกลม เป็นจุดพีคมากกกกก ถ้ามีโดรนมุมสูง เห็นนาขั้นบันใดทั้งเขานี่ต้องงามมาก อีกทั้งข้าวปลูกไม่พร้อมกันเลยสุกไม่พร้อมกันไล่สีแบบเขียว เหลือง ทอง เนี่ยแหละที่เขาเรียนกว่าธรรมชาติปรุงแต่ง
ที่นี่ทางเหมือนกับขับมอเตอร์ไซค์วิบาก โคลน ทางชัน ลูกรัง มาครบ ถ้าขับมอไซค์ไม่เก่ง มีชาวบ้านบริการ เป็นมอเตอร์ไซด์บริการรับจ้างขึ้น-ลงด้วย เที่ยวละ 70,000 VND ส่วนเราซ้อนท้ายพี่เชษไปแล้วจับเบาะโดยมั่น โดยจากจุดจอดรถจะต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1.5 กม. แบบโคลนๆ แต่เห็นชาวบ้านกำลังทำถนนใหม่ ไปรอบหน้าอาจจะไม่ต้องเดินแล้วก็ได้ สุดท้าย 1.5 กิโลโคลนนั้นก็ทำให้เราไปไม่ทันแสงเย็นที่ส่องนาข้าว ( ถอดรองเท้าเดินลุยโคลนก็แล้ว ก็ยังไปไม่ทัน ) ไปทันแว่บนึงจากที่ไกลๆ แล้วแดดก็หายจากเราไปไม่กลับมาเลยจ้าาา
ที่นี่มีเด็กๆน่ารัก อยากให้เอาขนมไปฝากน้องๆเยอะๆ เริ่มมีการขอเงินแลกเปลี่ยนแล้ว แต่โดยรวมเราว่ายังโอเคอยู่ นอกจากนาขั้นบันใดตรงนี้จะสวยมากมากแล้ว เราว่าการมานั่งเล่นแถวๆนี้คุยกับเด็กๆ ( ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ) ก็เป็นเรื่องที่ดีในการปล่อยเวลาทิ้งแบบไม่มีประโยชน์ แต่ไม่ได้ไร้ค่าเลย ความรู้สึกวันนั้นเรายังจำได้เลย ตอนหล่นลงไปในคันนา แล้วมีเด็กๆมาช่วยยก เราไปที่นี่สองวันไปตอนเย็นวันนึง ตอนเช้าวันนึง ตอนเย็นวันนึง แต่ด้วยความที่เขาสูงมากมาก กว่าดวงอาทิตย์จะตกก็เลยเหลี่ยมเขาไปแล้ว การจะได้แสงสวยๆกับนาขั้นบันใดนี่ต้องใช้ดวงล้วนๆ ชาวบ้านบอกว่าที่นี่ฝนตกบ่อยมาก การที่เราเจอฟ้าครึ้มๆนิดหน่อย นี่คือโชคดีมากแล้วล่ะ


ทูเล ( Tule )
พวกเราขับมอไซค์คันเดิมจากมูกางจ๋ายมาที่ทูเล ขับๆไปเรื่อยๆ แวะข้างทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 ชั่วโมง ขนาดซ้อนอย่างเดียวยังก้นชา แต่ยอม ไม่คิดมาก่อนว่าขับมอไซค์แถบนี้จะสนุกขนาดนั้น ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาที่ใช้เรื่องจริงเหอะ
ทูเล เป็นอีกหมู่บ้านที่มีนาขั้นบันใดที่สวยมาก มูกางจ๋ายจะเน้นนาขั้นบันใดบนเขาชันชัน แต่ทูเลจะเป็นนาขั้นบันใดที่หลากหลายมากกว่า มีทั้งแนวราบและแนวบนเขา


ที่นี่จะมีโรงแรมใหญ่กว่ามูกางจ๋าย ดูเป็นเมืองใหญ่มากกว่า แต่คนก็น่ารักเหมือนเดิมแหละ วิธีการเที่ยวก็เหมือนเดิมเลย เราขับมอไซค์ไปเรื่อยๆ เจอที่ถูกใจก็ลงไปเดิน รักตรงไหนมาก็นั่งชมวิว และที่นี่แหละที่เรานั่งเพลินจนทิ้ง gopro ไว้พร้อมกับเมมที่ถ่ายตั้งแต่ทริปโอมานและทริปเวียดนามสองวันที่ผ่านมา ลาก่อน gopro ลาก่อน ทูเล
ระว่างทาง มูกางจ๋าย – ทูเล เราก็แวะขับมาเรื่อยๆ ยังถือว่าโชคดีที่เจอพี่เชษ เพราะถ้าไม่ได้มาซ้อนท้ายขุ่นพี่นี่หนูน่าจะมอไซค์คว่ำกลางนาไปหลายรอบ ทางระหว่างเมืองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ทางที่ต้องซอกแซกเข้าไปแต่ละที่นี่สิ ถนนแบบโคลนโคลน ทางชันๆบนเขานี่ กินแรงไปเยอะพอควร กางเกงที่ใส่ตอนนั้นกลับมาทิ้งเลยเยินไปหมด 🙂
ระว่างทางก็แวะไปเรื่อยๆ เมื่อยก็หยุด แค่ฝนไม่ตกก็ดีใจมากแล้วอ่ะเอาจริง
ส่วนเรื่องอื่นๆ โรงแรม ที่พัก เดินหาเอาได้เลย ถูกใจตรงไหนก็จัดตรงนั้น เอาจริงเรากินเท่าที่กินเลย กินแบบอาหารของชาวบ้านทั่วไปนี่แหละ บรรยากาศสนุกๆ อาหารโอเคนะ แต่ไม่ต้องคาดหวังเรื่องคาเฟ่เก๋ๆ พี่พักวิวสวยสวยอ่ะ มันยังไม่มี แต่เราว่าเร็วๆนี้อาจจะมี ถ้ามีที่พักบนนาขั้นบันใดแบบป่าปงเปียงนี่ เรื่องยาว มูกางจ๋ายแตกแน่แน่ แต่ความเจ๋งอยู่ที่เบียร์เหยือกละยี่สิบบาท ใช้ชีวิตให้สบายๆ ตอนเช้าตื่นไปถ่ายแสงเช้า ตอนสายๆกลับมากินข้าวแล้วนอน ตอนบ่ายๆก็ออกไม่ถ่ายรูป เดินเล่นชิลๆ กลับมาซดเบียร์แล้วนอน
ใช้เงินเท่าไหร่ดี ? จริงๆสามวันนี้ใช้เงินน้อยมากเลย ค่าเช่ามอไซค์ + ค่าข้าว + ค่าโรงแรม บวกค่าเดินทางมาจากฮอนอยแล้วเราว่าไม่เกิน 3,000 บาท เทียบว่าราคาพอพอกับเที่ยวเชียงใหม่นั่นแหละ ลองมาดูนาเวียดนามบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีว่ามั้ย ?
บทสรุปของเวียดนาม/เหนือ ( มูกางจ๋าย )
เป็นเวียดนามครั้งที่สองของเรา แต่เป็นเวียดนามเหนือครั้งแรก รู้ข้อมูลมาแค่นิดหน่อย ไม่อยากรู้ทะลุ เราว่ามันไม่สนุก เวลาเจออะไรที่เราไม่เคยรู้มาก่อนมันตื่นเต้นดี ถ้ารู้หมดแล้วก็ไม่ต้องมาหรอก ไม่อยากระแวงจนหมดสนุก แต่ก็นั่นแหละ แลกกับการต้องเป็นเหยื่อ เสมอ เสมอ และเสม๊ออออ ( บางทีคนเราก็เจ็บไม่จำ 🙂 สุดท้ายก็ได้ความทรงจำกลับมามากมาย ( ตอนนี้มีเวียดนามครั้งที่สามแล้ว ฮอยอันฉันรักเธอ )
อย่าทิ้งความฝัน เพียงเพราะแค่ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน ถ้าเรารอเพื่อนตอนนั้น ผ่านมาตอนนี้เราก็คงจะยังไม่ได้ไป จบทริป 3 วัน ในมูกางจ๋าย เรานั่งรถต่อไปซาปา เมืองในฝันของหลายๆคน ส่วนใหญ่จะนั่งรถไฟไปกันจากฮานอย แต่เรานั่งรถขนหมากเบียดกับชาวบ้านไป ความน่ารัดแกมหยิกแกมหยอกของคนเวียดนาม จะเป็นแบบไหน มูกางจ๋ายว่าเด๋อแล้ว ไปซาปาเด๋อไปอีก ติดตามอ่านตอนหน้า Solo backpacker – Sapa ( ซาปา )
Leave a Reply