เมืองดาร์จีลิ่ง (Darjeeling) เป็นเมืองที่ชาวอังกฤษขึ้นมาสร้างไว้เป็นเมืองตากอากาศบนยอดเขาสูง สามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมืองในเมือง อากาศเย็นสบายทั้งปีเป็นเมืองพักร้อน สมัยก่อนกัลกาตาเป็นเมืองหลวงช่วงหน้าร้อนก็จะร้อนมาก ดาร์จิลิ่งจะเป็นเมืองหนีร้อนของที่นี่ ส่วนเราก็หนีร้อนจากอากาศเมืองไทยช่วงเมษาไปพักร้อนที่นี่เหมือนกัน ตามไปเที่ยวดาร์จิลิ่งจิบชาสไตล์อังกฤษกันค่ะ
รู้จัก ดาร์จีลิง ( Darjeeling )
ดาร์จิลิ่ง ตั้งอยู่บนแนวสันเขาที่ความสูง 2,134 เมตร จากระดับน้ำทะเล รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “ ราชินีแห่งขุนเขา ” เป็นเมืองรีสอร์ตที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของเมือง ก็สามารถมองเห็นเทือกหิมาลัยทอดตัวยาวรอบเมือง โดยเฉพาะยอดกันเช็งจุงก้าที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวตลอดทั้งปี เป็นแหล่งปลูกและผลิตชาที่ดีที่สุดในโลก และเป็นเมืองศูนย์กลางการค้า ในทำการค้าขายกับทิเบต
ดาร์จีลิ่งเป็นเมืองที่ผสมผสานความเจริญของโลกตะวันตกที่แผ่ขยายมาในช่วงอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยตึก และอาคารบ้านเรือนที่สร้างตามไหล่เขาในสไตล์ยุโรป แต่บรรยากาศยังคงพลุกพล่านเบียดเสียดยัดเยียดแบบอินเดีย และแซมด้วยวัดแบบทิเบตที่ประยุกต์แล้ว ที่นี่จึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากมาก เราจะสามารถเห็นร้าน fast food ตั้งขายข้างตลาดขายไส้ย่างเป็นพวง เห็นชาอังกฤษขายในร้านข้าวแกงกะหรี่ เห็นเด็กนักเรียนอินเตอร์เดินอยู่เต็มเมือง และเห็นขอทานเต็มเมืองเช่นไปขณะเดียวกัน
กว่าจะถึง Darjeeling การเดินทางจากเมืองไทยมา darjeeling นั้นมีหลายทางและหลายต่อ ยาวยาวไป
เครื่องบิน ลงสนามบิน Bagdogra ต่อรถไป derjeeling ~ 3 ชั่วโฒง
รถทัวร์ ลงSirguli ( เดินทางจาก Kolkata )
รถไฟ ลง Siliguli ( Kolkata – Siliguli ~ 13++ ชั่วโมง เอ๊งงง )
ขามาเราเดินทางจาก Kolkata บินมาลงที่ Bagdora แล้วเที่ยว Gangtok – Sikkim ก่อน
( SIKKIM , INCREDIBLE LAND )แล้วเดินทางต่อมาที่ดาร์จีลิง ส่วนขากลับเราเลือกนั่งรถไฟล่องลงไป Kolkata การนั่งรถไฟในอินเดีย!! 15 ชั่วโมง ความลำบากในการเดินทาง x 10 เท่าของการนั่งรถไฟไทยไปเลยจ้า แต่ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตเราเลย ฮ่าๆ ระหว่างเดินทางจาก derjeeling เราแวะวัดรุมเต๊ก ( Rumtek Monastery ) แล้วให้รถมาส่งที่ดาร์จิลิ่งเลย
วัดรุมเต็ก (Rumtek Monastery)
หรือ ศูนย์ธรรมจักร (Dharmachakra Centre) เป็นสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นวัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 1,550 เมตร ห่างจากกังต็อก 24 กิโลเมตร ( 24 กม. กับเวลาเดินทาง ~2 ชั่วโมง อย่าเชื่อกิโลกับถนนในอินเดีย มันไม่สัมพันธ์อะไรกันเลย ) ขอย้ำว่าเราไม่ใช่สายวัดเท่าไหร่ ( เรียกว่าไม่วัดเลย )
เที่ยวแบบชิลๆในเมืองตากอากาศดาร์จีลิง
หลังจากเราไปลุยเมืองสิกขิมนั่งรถข้ามเขาแบบโหดๆมาแล้ว ในเมืองดาร์จีลิงเราเลยจะพักผ่อน ให้สมกับเป็นเมืองตากอากาศ เราจะอยู่ที่นี่ 3 วัน 2 คืน เลือกเช่ารถ 1 วันเพื่อเที่ยวในเมืองดาร์จีลิง ส่วนอีกสองวัน ใช้การเดินเที่ยว พักผ่อน และจิบชา อย่างที่บอกเมืองนี้มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมมาก มีความเป็นเมืองและมีความ traditional แบบอินเดียผสมกัน คนเยอะและหลากหลายกว่า gantok นอกจากนักท่องเที่ยวเองเมืองนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมจากชาวอินเดียในการพักร้อนเหมือนกัน เราเลยได้เจอคนหลายๆเชื้อชาติ เดินผสมกันที่เมืองนี้
วันแรกที่เรามาถึงช่วงบ่ายๆ การเดินสำรวจเมืองนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เรามากมาก ข้อดีอีกอย่างของที่นี่คือมี KFC และ Pizza การได้กินอาหารแบบไม่มีกะหรี่บ้างชีวิตมันก็สดใสได้บ้างเหมือนกัน 🙂 จัดอาหารให้อิ่ม พลังการเดินทางเราก็กลับมาเต็มเปี่ยม พร้อมลุยเที่ยวดาร์จีลิงค์แล้ว

001 ย่านช้อปปิ้งชอร์ราสตา (Chawrasta) ตลาดพื้นเมืองชอร์รัสต้า
ย่านชอร์ราสตา เป็นย่านที่ถนนสี่สายมาบรรจบกัน เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีถนนแยกไปได้หลายสาย ตามตรอก ตามซอยตามซอย มีร้านขายของเยอะมาก ทั้งร้านหนังสือ ร้านอาหาร คาเฟ่ ของฝาก เสื้อผ้า นักท่องเที่ยวนิยม เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง โดยเฉพาะย่านถนน The Mall เดินได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลย

ที่นี่จะเป็นเมืองที่มีโรงเรียนอินเตอร์ และมีโรงเรียนสอนภาษาที่ได้รับความนิยม มีนักเรียนมาเรียนจำนวนมาก เราสามารถเจอเด็กไทยมาเรียนที่นี่เยอะเลย

002 ไทเกอร์ฮิล (Tiger Hill)
จุดชมวิวยอดฮิตทางตอนใต้ของเมืองดาร์จีลิ่ง อยู่ห่างออกไป ~11 กิโลเมตร ในฤดูท่องเที่ยวสามารถจองรถจิ๊ปจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว DGAHC ราคาเหมาคันละ ~ 450 รูปี ไทเกอร์ฮิล คือจุดที่สามารถดูยอดเขาคันชังจุงก้าได้ชัดเจนสวยงามมากที่สุด การชมวิวที่ไทเกอร์ฮิลล์มีทั้งแบบไม่เสียเงิน คือการยืนสู้หนาวเบียดกันตามระเบียงกลางแจ้งเพื่อรอพระอาทิตย์ขึ้น หรือถ้าจ่ายเงินประมาณ 40 รูปี (32 บาท) ก็สามารถนั่งชมแบบสบายบนชั้น 2 ของหอชมวิว ราคานี้รวมชาและกาแฟ พร้อมขนม 2-3 ชิ้น แต่ถ้าไปช้าก็จะไม่มีที่นั่งใดใดให้เราแล้วว เพราะอย่าลืมว่าที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวอินเดียมาเที่ยวเหมือนกัน และคนอินเดียตื่นเช้ามาก เพราะฉะนั้นถ้าอยากถ่ายรูปและอยากได้ที่นั่งดีดีต้องไปตั้งแต่ตีสี่เลย!!! หรือใครมีแพลนที่จะเที่ยวที่อื่นๆต่อใช้เหมาแบบ private กรุ้ปทั้งวันเลยก็ได้ จะได้ชิลๆไม่เร่งรีบ
ตอนอากาศเปิดเราจะเห็นวิวคันชังจุงก้าพร้อมดวงอาทิตย์ตกแบบเต็มตา วันที่เราไปฟ้าไม่เปิดมากนักเลยเห็นคันชังจุงก้าได้แค่จางๆ พร้อมกับแสงอาทิตย์แบบฟ้าสีทอง สีชมพู สีม่วง กับฉากภูเขาหิมะจางๆ
สีท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆทุกห้านาที ทั้งที่เรายืนอยู่ที่เดิม นี่แหละความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ

** ตอนเช้าระหว่างรอดวงอาทิตย์ขึ้น อากาศหนาวมาก อุปกรณ์ใส่ไปให้ครบน๊า !!
003 War Memorial
War Memorial : สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1994 ในบริเวณบาตาเชียลูป อนุสาวรีย์นี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม มีความสูง 30 ฟุต บริเวณรอบๆ อนุสาวรีย์จะตกแต่งประดับด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารหาญชาวดาร์จีลิ่งทุกคนที่ต้องเสียชีวิตจากสงครามหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในอดีต บาตาเซียลูป (Batasis Loop) : เป็นรางรถไฟที่สร้างขึ้นโดยมีลักษณะเป็นวง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจทางด้านวิศวกรรม ก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับให้เป็นจุดเลี้ยวกลับสำหรับรถไฟที่มาจากสถานีดาร์จีลิ่ง โดยรางรถไฟจะวนรอบอนุสาวรีย์ War Memorial แต่ตอนที่เราไปแทบมองไม่เห็นรางรถไฟ เพราะกลายเป็นตลาดเช้าขายของของชาวบ้าน คนรักดีแบบเราก็ต้องนี่ละ เด็ดตลาดและหาของกิน ( ฮี่ๆ )
004 วัดกูม (Ghoom Monastery)
วัดกูม (Ghoom Monastery) หรือชื่อเต็มว่า Yiga Choeling Ghoom Old Monastery เป็นวัดทิเบต ศาสนาพุทธยังเป็นหนึ่งในศาสนาสำคัญในแถบหิมาลัยตะวันออก แถบอินเดียเหนือจึงมีวัดทิเบตตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั้งในสิกขิมและดาร์จีลิง การสวดมนต์ก็เดินหมุนวงล้อสวดมนต์ที่มีอยู่รอบวัดด้านนอกตามเข็มนาฬิกาจนครบ 1 รอบ อธิษฐานขอพรได้ตามที่ปราถนาเลยจ้าา


005 ชาดาร์จีลิ่ง (Darjeeing Tea)
ได้รับการยกย่องว่าเป็นแชมเปญช์แห่งชา เนื่องจากน้ำชามีกลิ่นหอมและรสชาติอ่อนนุ่ม พร้อมทั้งมีรสชาติคล้ายกับเหล้าองุ่นแบบเจือจางอย่ด้วย ดาร์จีลิ่งจึงเป็นชาที่เหมาะสมสำหรับดื่มระหว่างอาหารค่ำหรือการดื่มชาช่วง บ่ายที่สุด ชาดาร์จีลิ่งปลูกมากในแทบเทือกเขาหิมาลัย ส่วนชาเขียวดาร์จีลิ่งซึ่งมีรสชาติเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์นั้น เป็นชาหายากเช่นเดียวกับชาเซนฉะของญี่ปุ่น ที่นี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเป็นแหล่งปลูกชาที่ดีที่สุดในโลก
นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นกรรมวิธีในการผลิตชาที่เรียกกันว่า Orthodox Method ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน ทั้งในเรื่องของการเลือกเก็บเฉพาะยอดใบชาอ่อน เก็บในเวลาที่ดีที่สุดของปี จนกระทั่งกระบวนในการบ่มชา การคัดแยกในขั้นสุดท้าย เพื่อให้ได้ชาที่มีคุณภาพดีที่สุด ในเมือง ดาร์จีลิงนั้นมีโรงงานผลิตชากระบวนการ Orthodox Method อยู่หลายสิบโรงงาน และถือเป็นความ เชี่ยวชาญเฉพาะทางของคนที่นี่ รวมถึงยังส่งออกไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ใครสนใจสามารถเข้าชมกระบวนการผลิตต่างๆ ของโรงงานเหล่านี้ได้ด้วยน๊าา ส่วนเราไม่ได้สนใจวิธีการเท่าไหร่ เลยไปดูแค่ไร่ชาดูชาวบ้านเก็บชาและกินชาแทน ฮี่ๆ ( ไร่ชาที่นิยมคือ ไร่ชาแฮปปี้วัลเล่ย์ Happy Valley )
นอกจากการชมการเก็บชา และชิมชาแล้วที่นี่ยังมีชุดท้องถิ่นให้บริการเช่าถ่ายรูปด้วย ไร่ชาที่นี่ค่อนข้างใหญ่กว่าเมืองไทยมาก
006 เจดีย์สันติภาพญี่ปุ่น (Japanese Peace Pagodal)
เจดีย์สันติภาพญี่ปุ่นในดาร์จีลิ่ง จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ทั้งสี่ด้าน รวมถึงภาพแกะสลักหินเรื่องราวต่างๆ ของพระพุทธเจ้า
ตั้งอยู่บนถนน AJC Bose ภายในอาคารมีประวัติการสร้างวัดพุทธนิปปอนซังเมียวโอจิ พระพุทธรูปทองคำภายในห้องสำหรับทำพิธีสวดมนต์ ส่วนด้านนอกเป็นที่ตั้งของเจดีย์สันติภาพ ซึ่งองค์กรพุทธศาสนิกชนชาวญี่ปุ่นนิปปอนชังเมียวโฮจิ เป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อรำลึกถึงสงครามปรมาณูที่สหรัฐฯ ใช้จัดการเมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่น
007 Darjeeling Himalayan Railway / Toy Train
รถไฟหัวจักรไอน้ำสายเก่าแก่ เป็นรถไฟสายหนึ่งของอินเดีย ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก รถไฟสายนี้สร้างโดยอังกฤษ และวิ่งครั้งแรกในปี ค.ศ. 1881 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟไต่ภูเขาสูงระดับ 4,000-5,000 ฟุต จากเมืองนิวจัลไปกุรีขึ้นสู่ดาร์จีลิงได้ แต่ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมง ถ้าเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง ถึงแม้จะช้าแต่รถไฟเก่าแก่เส้นนี้ก็ยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ แต่สำหรับพวกเราเวลาน้อยก็มีรถไฟสายท่องเที่ยวไว้สำหรับชมเมืองดาร์จีลิง ใช้เวลานั่งประมาณ 2 ชั่วโมง
ถ้ามีคนบอกคุณว่าไม่ต้องจองล่วงหน้า ไปถึงก็ซื้อตั๋วขึ้นได้เลย รถไฟไม่เคยเต็ม อย่าไปเชื่อเค้าค่ะ เพราะเราเชื่อมาแล้ว และสุดท้าย ตั๋วรถไฟเต็ม ไม่ได้นั่งจ้า ได้ได้ถ่ายรูปรถไฟที่ชานชาลา ทั้งที่ไปถึงดาร์จีลิงก่อนตั้งสองวันและวางแพลนไว้นั่งวันสุดท้ายก่อนกลับ ฮ๋าๆ อดเลยจ้าา เพราะฉะนั้นไปถึงแล้วไปจองตั๋วก่อนเลยค่ะ มีตั๋วไว้อุ่นใจกว่า ( Toy train มีวันละ 2 รอบ รอบ 11 โฒง และ 13.30 )
ดาร์จีลิงยังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกหลายที่ เช่นเคเบิลคาร์ชมวิวตัวเมือง เรามีเวลาที่นี่ไม่มากเท่าไหร่เคเบิลคาร์คิวยาวมากกกกก อีกทั้งวันที่เราไปฟ้าไม่เปิดเท่าไหร่เลยตัดสินใจไม่ขึ้น ชอบนั่งรถเล่น เดินเล่นไปรอบเมืองได้สัมผัสใกล้ๆมากกว่า เลยจำเป็นต้องตัดไป
Glenary’s Bakery Resturant & Pub
อกหักจาก toy train เราเลยไปนั่งจิบชาทานขนม เป็น tea สไตล์อังกฤษ ที่ร้าน Glenary’s Bakery Resturant & Pub มีทั้งเค้กขนม อาหารพร้อม เราซื้อโปสการ์ดไปนั่งเขียนที่ร้านนี้ เจอคนไทย เจอฝรั่ง เจอคนเยอะมาก เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของคนคูลๆเลย เจอใครก็เจ๋งไปหมดทุกคน เราไปนั่งร้านนี้หลายรอบมากแต่ไม่ค่อยได้ถ่ายบรรยากาศร้านและอาหารมาเลยเพราะว่ามันอร่อยจนถ่ายไม่ทัน T_T อร่อยเกินมาตรฐานอินเดียมากมาก

ด้วยความเคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษที่นี่เลยมีร้านกาแฟ และขนมปังเยอะมากมากตั้งแต่ร้านรากหญ้ายันร้านหรูๆ เลือกเอาตามความชอบได้เลยค่ะ 🙂

ดาร์จีลิงเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการตากอากาศจริงๆ อาหารดี เย็นๆไม่หนาวมาก เราว่ากำลังสบายๆ มีชาอร่อยๆให้ทาน เค้กอร่อยๆให้กิน ร้านอาหารเยอะ คนพูดภาษาอังกฤษเก่ง แหล่งชอปปิ้งก็เยอะ ตลาดแบบโลคอลก็มี ธรรมชาติก็สวย เมืองเดียวได้ครบแบบนี้หายากมากกก ไปเที่ยวรอบหน้าต้องมีดาร์จีลิงไว้ในดวงใจนะคะ ตั๋วเครื่องบินไม่แพง ค่าครองชีพไม่แพง อยู่ที่ใจนี่แหละว่าจะถึงไหม ???
ความชิลเราจะจบลงแค่นี้ ตอนหน้าเราจะไปนั่งรถไฟอินเดีย ไปเที่ยวกันต่อที่เมืองกัลกาตา อินเดียที่แท้จริงกำลังเริ่มต้นขึ้น ที่ผ่านมานั้นเป็นแค่อินเดียหลอก !!!!! แต่มันส์มากกก

นมัสเต !!
Leave a Reply